พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
08/01/2008
ที่มา: 
พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499

พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
เป็นปีที่ 11 ในรัชกาลปัจจุบัน


        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า

        โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ เสียใหม่

        จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดังต่อไปนี้

        มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499

        มาตรา 2(1) พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2500 เป็นต้นไป

 

[แก้ไข]
หมวด 1 ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัด

        มาตรา 3 ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน หรือห้างหุ้นส่วนจำกัดใดในกรณีใช้ชื่อในดวงตรา ป้ายชื่อ หนังสือบอกกล่าวป่าวร้อง จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจของห้างหุ้นส่วน

(1) ถ้าเป็นอักษรไทย ไม่ใช่คำว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประกอบชื่อ แล้วแต่กรณี
(2) ถ้าเป็นอักษรต่างประเทศ ไม่ใช้คำซึ่งมีความหมายว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ตามประกาศของกระทรวงเศรษฐการประกอบชื่อ แล้วแต่กรณี

        ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทและปรับอีกวันละไม่เกินห้าร้อยบาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

        มาตรา 4(3) ผู้ใดใช้ชื่อหรือยี่ห้อซึ่งมีอักษรไทยประกอบว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรืออักษรต่างประเทศซึ่งมีความหมายดังกล่าวประกอบในดวงตรา ป้ายชื่อ หนังสือบอกกล่าวป่าวร้อง จดหมายใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจ โดยมิได้เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด เว้นแต่เป็นการใช้ในการขอจดทะเบียนเกี่ยวกับการตั้งห้างหุ้นส่วน (4)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และปรับอีกวันละไม่เกินห้าร้อยบาท จนกว่าจะได้เลิกใช้หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วแต่กรณี

        มาตรา 5 บริษัทจำกัดใด นอกจากธนาคาร ในกรณีใช้ชื่อในดวงตราป้ายชื่อ หนังสือบอกกล่าวป่าวร้อง จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัท

(1) ถ้าเป็นอักษรไทย ไม่ใช้คำว่า บริษัท ไว้หน้าชื่อ และ จำกัดไว้ท้ายชื่อ
(2) ถ้าเป็นอักษรต่างประเทศ ไม่ใช้คำซึ่งมีความหมายว่า บริษัทจำกัด ตามประกาศของกระทรวงเศรษฐการประกอบชื่อ

        ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และปรับอีกวันละไม่เกินห้าร้อยบาทจนกว่าจะได้เลิกใช้หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง แล้วแต่กรณี

        มาตรา 6 ผู้ใดใช้ชื่อหรือยี่ห้อซึ่งมีอักษรไทยประกอบว่า บริษัทจำกัด บริษัท หรือ จำกัด หรืออักษรต่างประเทศ ซึ่งมีความหมายดังกล่าวประกอบในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจโดยมิได้เป็นบริษัทจำกัด เว้นแต่เป็นการใช้ในการขอจดทะเบียนเกี่ยวกับการตั้งบริษัท หนังสือชี้ชวนให้เข้าชื่อซื้อหุ้นหรือหนังสือบอกกล่าวป่าวร้อง (2)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และปรับอีกวันละไม่เกินห้าร้อยบาทจนกว่าจะได้เลิกใช้หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง แล้วแต่กรณี

        มาตรา 7 บริษัทจำกัดใดไม่เอาหุ้นซึ่งริบแล้วออกขายทอดตลาดไม่หักใช้ค่าหุ้นที่เรียกกับดอกเบี้ยค้างชำระ หรือไม่ส่งคืนเงินเหลือให้แก่ผู้ถือหุ้นตามมาตรา 1125 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (3)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 8 บริษัทจำกัดใดไม่ทำใบหุ้นมอบให้เป็นคู่มือแก่ผู้ถือหุ้น หรือเรียกค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่กำหนดไว้ตามมาตรา 1127 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือไม่ทำใบหุ้นตามมาตรา 1128 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (4) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

        มาตรา 9 บริษัทจำกัดใดออกใบหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือโดยฝ่าฝืนมาตรา 1134 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (5)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 10 บริษัทจำกัดใดไม่มีสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นตามมาตรา 1138 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (6)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 11 บริษัทจำกัดใดไม่รักษาสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น หรือเมื่อผู้ถือหุ้นร้องขอไม่เปิดสมุดทะเบียนให้ผู้ถือหุ้นดูตามมาตรา 1139 วรรคหนึ่งแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (7) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 12 บริษัทจำกัดใดเป็นเจ้าของถือหุ้นของตนเอง หรือรับจำนำหุ้นของตนเอง โดยฝ่าฝืนมาตรา 1143 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (8)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

        มาตรา 13 บริษัทจำกัดใดไม่จดทะเบียนตามมาตรา 1146 มาตรา 1157 มาตรา 1228 มาตรา 1239 หรือมาตรา 1241 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (9)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 14 บริษัทจำกัดใดไม่มีสำนักงานบอกทะเบียน หรือไม่ส่งคำบอกกล่าวตามมาตรา 1148 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (10)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 15 บริษัทจำกัดใดลงพิมพ์หรือแสดงจำนวนต้นทุนของบริษัทโดยฝ่าฝืนมาตรา 1149 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (11) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 16 บริษัทจำกัดใดไม่เรียกประชุมตามมาตรา 1171 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (12)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 17 บริษัทจำกัดใดไม่ลงพิมพ์โฆษณาคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ ไม่ส่งคำบอกกล่าวไปยังผู้ถือหุ้น หรือไม่ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ประชุมปรึกษากันในคำบอกกล่าวตามมาตรา 1175 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (1)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 18 บริษัทจำกัดใด

(1) ไม่ทำบัญชีงบดุลตามมาตรา 1196 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(2) ไม่จัดให้มีผู้สอบบัญชีตรวจสอบงบดุล ไม่นำบัญชีงบดุลเสนอเพื่ออนุมัติในที่ประชุมใหญ่ ไม่ส่งสำเนางบดุล หรือไม่มีสำเนางบดุล ตามมาตรา 1197 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ
(3) ไม่จำหน่ายสำเนางบดุลแก่ผู้ปรารถนาจะซื้อตามมาตรา 1199 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

        ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 19 บริษัทจำกัดใดจ่ายเงินปันผลโดยฝ่าฝืนมาตรา 1201 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือแจกเงินปันผลโดยฝ่าฝืนมาตรา 1202 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (3)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        เงินใด ๆ ที่จ่าย หรือแจก ให้แก่ผู้ถือหุ้นในฐานะเป็นผู้ถือหุ้น นอกจากเงินค่าหุ้น ให้ถือว่าเป็นเงินปันผลตามมาตรานี้

        มาตรา 20 บริษัทจำกัดใดไม่บอกกล่าวว่าจะปันผลอย่างใด ๆ อันได้อนุญาตให้จ่ายตามมาตรา 1204 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (4) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 21 บริษัทจำกัดใดไม่เสนอบรรดาหุ้นที่ออกใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นตามมาตรา 1222 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (5)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 22 บริษัทจำกัดใดไม่โฆษณา หรือไม่มีหนังสือบอกกล่าวความประสงค์จะลดทุนตามมาตรา 1226 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือจัดการลดทุนโดยฝ่าฝืนมาตรา 1226 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (6) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

        มาตรา 23 บริษัทจำกัดใดออกหุ้นกู้โดยฝ่าฝืนมาตรา 1229 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (7) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

        มาตรา 24 บริษัทจำกัดใดไม่โฆษณาหรือไม่ส่งคำบอกกล่าวให้ทราบรายการที่ประสงค์จะควบบริษัทเข้ากันตามมาตรา 1240 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือจัดการควบบริษัทเข้าด้วยกันโดยฝ่าฝืนมาตรา 1240 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (8) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

        มาตรา 25 ในกรณีที่บริษัทจำกัดใดกระทำความผิดตามมาตรา 7 ถึงมาตรา 24 กรรมการของบริษัทนั้น หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้น (9)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

        มาตรา 26 กรรมการใดของบริษัทจำกัดไม่ส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นและผู้ที่ขาดจากเป็นผู้ถือหุ้นตามมาตรา 1139 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (10) ต้องระวางโทษไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

        มาตรา 27 กรรมการใดของบริษัทจำกัดไม่เรียกประชุมวิสามัญตามมาตรา 1172 วรรคสอง หรือมาตรา 1174 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (11)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 28 กรรมการใดของบริษัทจำกัด

(1) ไม่ส่งสำเนางบดุลตามมาตรา 1199 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(2) ไม่จัดให้ถือบัญชีตามมาตรา 1206 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ
(3) ไม่จัดให้จดบันทึก หรือไม่เก็บรักษาสมุดตามมาตรา 1207 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

        ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

        มาตรา 29(2) บริษัทจำกัดใดเสนอหนังสือบอกกล่าวให้ผู้ถือหุ้นที่ซื้อหุ้นใหม่โดยฝ่าฝืนมาตรา 1223 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 30 ผู้ถือหุ้นใด รับหรือยอมจะรับประโยชน์เป็นพิเศษสำหรับตนหรือผู้อื่นเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จะลงคะแนนเสียง หรืองดการลงคะแนนเสียงในที่ประชุมใหญ่ของบริษัทจำกัด (3)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

        ผู้ใดให้ หรือสัญญาว่าจะให้ประโยชน์เป็นพิเศษแก่ผู้ถือหุ้นเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่ผู้ถือหุ้นนั้นจะลงคะแนนเสียง หรืองดการลงคะแนนเสียงในที่ประชุมใหญ่ของบริษัทจำกัด ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

        มาตรา 31 ผู้สอบบัญชีใดของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด รับรองงบดุลหรือบัญชีอื่นใดอันไม่ถูกต้อง หรือทำรายงานเท็จ (4)ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 32 ผู้ชำระบัญชีใดของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด ไม่กระทำตามมาตรา 1253 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (5)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินแปดหมื่นบาท

        มาตรา 33 ผู้ชำระบัญชีใดของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด ไม่จดทะเบียนตามมาตรา 1254 มาตรา 1258 มาตรา 1262 หรือมาตรา 1270 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (6)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

        มาตรา 34 ผู้ชำระบัญชีใดของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด ไม่ร้องขอต่อศาลตามมาตรา 1266 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (7)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

        มาตรา 35 ผู้ชำระบัญชีใดของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด

(1) ไม่ทำงบดุล หรือไม่เรียกประชุมใหญ่ตามมาตรา 1255 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(2) ไม่ทำรายงาน หรือไม่เปิดเผยรายงานตามมาตรา 1267 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(3) ไม่ทำรายงาน ไม่เรียกประชุมใหญ่ หรือไม่ชี้แจงกิจการตามมาตรา 1270 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ
(4) ไม่มอบบัญชีและเอกสารตามมาตรา 1271 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

        ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

        มาตรา 36 ผู้ชำระบัญชีใดของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด ไม่เรียกประชุมใหญ่ ไม่ทำรายงาน หรือไม่แถลงตามมาตรา 1268 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (9)ต้องระวางโทษไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

        มาตรา 37 ผู้ชำระบัญชีใดของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด แบ่งคืนทรัพย์สินโดยฝ่าฝืนมาตรา 1269 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (10)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 38 กรรมการหรือผู้ชำระบัญชีใดของบริษัทจำกัด โดยทุจริตแสดงออกซึ่งความเท็จ หรือปกปิดความจริงต่อที่ประชุมใหญ่ในเรื่องฐานะการเงินของบริษัทนั้น (11)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

        มาตรา 39 บุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด เอาไปเสีย ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สินอันนิติบุคคลดังกล่าวจำนำไว้ถ้าได้กระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้รับจำนำ (1)ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 40(2) บุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด รู้ว่าเจ้าหนี้ของนิติบุคคลดังกล่าว หรือเจ้าหนี้ของบุคคลอื่นซึ่งจะใช้สิทธิของเจ้าหนี้ของนิติบุคคลดังกล่าว บังคับการชำระหนี้จากนิติบุคคลดังกล่าว ใช้หรือน่าจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้

(1) ย้าย ซ่อน หรือโอนให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์สินของนิติบุคคลดังกล่าวหรือ
(2) แกล้งให้นิติบุคคลดังกล่าวเป็นหนี้ซึ่งไม่เป็นความจริง

        ถ้าได้กระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 41 บุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด กระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่นิติบุคคลดังกล่าว (3) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

        มาตรา 42 บุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด กระทำหรือยินยอมให้กระทำการดังต่อไปนี้

(1) ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือปลอมบัญชีเอกสาร หรือหลักประกันของห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท หรือที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือ
(2) ลงข้อความเท็จ หรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชี หรือเอกสารของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท

        ถ้ากระทำหรือยินยอมให้กระทำการเพื่อลวงให้ห้างหุ้นส่วน บริษัทผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ (4) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 43 ผู้ใดโฆษณาชวนให้เข้าชื่อซื้อหุ้นโดยฝ่าฝืนมาตรา 1102 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (5)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

        มาตรา 44(6) ยกเลิก

        มาตรา 45(7) ยกเลิก

        มาตรา 46 ผู้ใดโฆษณาโดยอ้างถึงบุคคล ตำแหน่งหน้าที่ บัญชี รายงาน หรือกิจการอันเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด อันเป็นเท็จในสารสำคัญ หรือปกปิดข้อความอันเป็นสารสำคัญ เพื่อ

(1) ลวงผู้มีส่วนได้เสียในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นให้ขาดประโยชน์อันควรได้จากห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทนั้นหรือ
(2) จูงใจบุคคลให้เข้าเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ให้มอบหมายหรือให้ส่งทรัพย์สินให้แก่ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น หรือให้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันหรือให้ให้ทรัพย์สินเป็นประกันห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น

        ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 47 ผู้ใดเข้าร่วมในที่ประชุมตั้งบริษัทจำกัดหรือในที่ประชุมใหญ่ของบริษัทจำกัด และลงคะแนนออกเสียงหรืองดลงคะแนนออกเสียง โดยลวงว่าตนเป็นผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น ผู้ถือหุ้น หรือผู้มีสิทธิออกเสียงแทนผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น หรือผู้ถือหุ้น (1)ต้องระวางโทษไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

         ผู้ใดให้อุปการะแก่การกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคหนึ่ง โดยส่งมอบเอกสารแสดงการเข้าชื่อซื้อหุ้น หรือใบหุ้นซึ่งได้ใช้เพื่อการดังกล่าวแล้ว ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

        มาตรา 48 ผู้ใดโดยทุจริต กำหนดค่าแรงงาน หรือทรัพย์สินที่นำมาลงในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด แทนเงินค่าหุ้นให้สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (2)ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

 

[แก้ไข]
หมวด 2 ความผิดเกี่ยวกับสมาคมและมูลนิธิ

        มาตรา 49 ผู้ใดใช้คำว่า สมาคม ประกอบกับชื่อ ในดวงตราป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจโดยมิได้เป็นสมาคมที่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือตามกฎหมายอื่น เว้นแต่เป็นการใช้ในการขอจดทะเบียนเกี่ยวกับการตั้งสมาคมหรือในการแปลอักษรต่างประเทศเป็นอักษรไทยโดยมีอักษรต่างประเทศกำกับไว้ด้วยต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาทและปรับอีกวันละไม่เกินห้าร้อยบาทจนกว่าจะได้เลิกใช้

        มาตรา 50 ผู้ใดดำเนินกิจการของคณะบุคคลใดโดยกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่ากิจการนั้นเป็นสมาคมที่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการกระทำดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 51 ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลใดที่ใช้ชื่อว่าสมาคมโดยรู้อยู่ว่าเป็นสมาคมที่มิได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

        มาตรา 52 สมาคมใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 80 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และปรับอีกวันละไม่เกินห้าร้อยบาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

        มาตรา 53 สมาคมใดมิได้จดทะเบียนข้อบังคับที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

        มาตรา 54 สมาคมใดมิได้จดทะเบียนการแต่งตั้งหรือเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคมต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 85 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

        มาตรา 55 สมาคมใดไม่ยอมให้สมาชิกของสมาคมตรวจตรากิจการและทรัพย์สินของสมาคมตามมาตรา 89 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

        มาตรา 56 กรรมการของสมาคมผู้ใดดำเนินกิจการผิดวัตถุประสงค์ของสมาคม และการดำเนินกิจการนั้นเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 57 ในกรณีที่คณะกรรมการของสมาคมไม่แจ้งการเลิกสมาคมต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 105 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กรรมการของสมาคมนั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินคนละหนึ่งหมื่นบาท เว้นแต่กรรมการผู้ใดของสมาคมนั้นจะพิสูจน์ได้ว่า การที่มิได้แจ้งนั้น มิได้เกิดจากการกระทำของตน

        มาตรา 58 ผู้ใดแบ่งทรัพย์สินของสมาคมที่เหลืออยู่เมื่อได้ชำระบัญชีแล้วให้แก่สมาชิกของสมาคม หรือโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 107 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 59 ผู้ใดยังขืนแสดงตนเป็นกรรมการหรือสมาชิกของสมาคมโดยรู้อยู่ว่านายทะเบียนได้ถอนชื่อสมาคมนั้นออกจากทะเบียนแล้วตามมาตรา 102 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือศาลได้สั่งให้เลิกสมาคมแล้วตามมาตรา 104 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

        มาตรา 60 ผู้ใดใช้คำว่า มูลนิธิ ประกอบกับชื่อ ในดวงตราป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจ โดยมิได้เป็นมูลนิธิที่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เว้นแต่เป็นการใช้ในการขอจดทะเบียนเกี่ยวกับการตั้งมูลนิธิ หรือในการแปลอักษรต่างประเทศเป็นอักษรไทยโดยมีอักษรต่างประเทศกำกับไว้ด้วย ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และปรับอีกวันละไม่เกินห้าร้อยบาทจนกว่าจะได้เลิกใช้

        มาตรา 61 ผู้ใดดำเนินกิจการใดโดยกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่ากิจการนั้นเป็นมูลนิธิที่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการกระทำดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 62 มูลนิธิใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 113 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และปรับอีกวันละไม่เกินห้าร้อยบาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

        มาตรา 63 มูลนิธิใดมิได้จดทะเบียนการแต่งตั้งหรือเปลี่ยนแปลงกรรมการมูลนิธิต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 125 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

        มาตรา 64 มูลนิธิใดมิได้จดทะเบียนข้อบังคับที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 126 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

        มาตรา 65 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา 128 วรรคหนึ่ง (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าไปตรวจสอบกิจการมูลนิธิตามมาตรา 128 วรรคหนึ่ง (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 66 กรรมการของมูลนิธิผู้ใดดำเนินกิจการผิดวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และการดำเนินกิจการนั้นน่าจะเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 67 ในกรณีที่คณะกรรมการของมูลนิธิไม่แจ้งการเลิกมูลนิธิต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 132 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กรรมการของมูลนิธินั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินคนละหนึ่งหมื่นบาท เว้นแต่กรรมการผู้ใดของมูลนิธินั้นจะพิสูจน์ได้ว่าการที่มิได้แจ้งนั้น มิได้เกิดจากการกระทำของตน

        มาตรา 68 ผู้ใดโอนทรัพย์สินของมูลนิธิที่เหลืออยู่เมื่อได้ชำระบัญชีแล้วให้แก่บุคคลอื่น อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 134 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 69 ให้นำความในมาตรา 31 ถึงมาตรา 42 มาใช้บังคับแก่บุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินกิจการของสมาคมหรือมูลนิธิด้วยโดยอนุโลม

 

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ป.พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ความผิดอันเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 จะได้ถูกยกเลิกไปโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 และในร่างประมวลกฎหมายอาญาใหม่ก็มิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดในเรื่องนี้ไว้ อีประการหนึ่ง ในกฎหมายของต่างประเทศ ไม่ปรากฏว่าได้รวมความผิดอันเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธินี้เข้าไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ฉะนั้น จึงสมควรที่จะบัญญัติความผิดดังกล่าวนี้ขึ้นไว้เป็นพระราชบัญญัติฉบับหนึ่งต่างหากพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535

        มาตรา 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 8 วรรคสอง มาตรา 11 วรรคสอง และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2535 มิให้นำบทบัญญัติมาตรา 52 มาตรา 60 และมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับแก่สมาคมหรือมูลนิธิที่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่มิได้ใช้คำว่า สมาคม หรือ มูลนิธิ ประกอบชื่อของตน หรือมูลนิธิที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2535 ใช้บังคับและมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแต่ใช้คำว่า มูลนิธิ ประกอบชื่อของตนแล้วแต่กรณี

หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากได้มีการแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และได้นำบทบัญญัติลักษณะ 23 สมาคม ของบรรพ 3 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม มาบัญญัติรวมไว้ในบรรพ 1 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ด้วย โดยได้พิจารณาแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับสมาคมและมูลนิธิเสียใหม่ให้เหมาะสม จึงจำเป็นต้องแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดและการลงโทษตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ.2499 ให้สอดคล้องกันและแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราโทษใหม่ให้ เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

         [รก.2535/42/47/8 เมษายน 2535]