พิธีกรรมเกี่ยวกับพิธีศพมอญ คัมภีร์กาละกาลี

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
05/03/2009
ที่มา: 
http://www.monstudies.com

พิธีกรรมเกี่ยวกับพิธีศพมอญ คัมภีร์กาละกาลี


ปราสาทงานพระราชทานเพลิงศพ พระครูสาครกิจโกศล วัดเจ็ดริ้ว จ.สมุทรสาคร

คัมภีร์กาละกาลี [ พิธีศพมอญ ]

พระมหาจรูญ ญาณจารี

มีมาณพคนหนึ่งชื่อว่า กาละ ภรรยาชื่อว่า กาลี ทั้งสองอาศัยอยู่ที่ใกล้ป่าช้าแห่งหนึ่ง ด้วยประสงค์ที่จะเก็บเผาศพที่เขานำมาทิ้งป่าช้า ทั้งคู่ได้ช่วยกันปัดกวาด ทำความสะอาดแล้วเผาศพที่เขานำมายังป่าช้านั้นแล
ท่านพระกาลเถระได้จาริกมาถึงยังป่าช้านั้นแล้วได้พิจารณาซากศพบรรลุเป็นพระ โสดาบนั กาละกาลีสองผัวเมียเห็นท่านแล้ว เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระเถระเป็นอย่างมาก ได้บอกกิจ (หน้าที่) ที่บุคคลผู้อยู่ในป่าช้าต้องปฏิบัติแก่พระเถระ ข้าแต่พระกาลเถระในสถานที่อยู่นี้มีอันตรายมากเป็นที่หลบอาศัยของพวกโจร หากท่านจะพักอาศัยอยู่ที่นี่ท่านต้องแจ้งให้ผู้นำหมู่บ้านทราบ จึงจะอยู่อาศัยได้ แล้วได้สอบถามพระกาลเถระว่า
ข้าแต่ท่านพระกาลเถระ ท่านอาศัยอยู่ในป่าช้านี้ ด้วยกิจธุระอันใดหรือ    พระเถระจึงได้ตอบแก่สามีภรรยานั้นว่า แน่ะกาละกาลี พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งผู้เที่ยวแสวงหาผ้าบังสุกุลใน ป่าช้าก็ดี ผู้บำเพ็ญภาวนาในป่าช้าก็ดีจะได้บรรลุธรรมวิเศษในสถานที่นี้แล กาละกาลได้ยินอย่างนั้นแล้วเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า จึง ได้นิมนต์ให้พระกาลเถระพักอาศัย อยู่ในป่าช้าแห่งนั้น ได้ยินมาว่ามีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่า ธัมมจิตระ ภรรยาชื่อว่า เขมี มีลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อว่า เขมา และนางได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ๓ วัน กาละกาลี  ปรึกษากันแล้ว กล่าวแก่พระเถระว่า ข้าแต่ท่านพระกาลเถระเราจะไปแจ้งให้เศรษฐีทราบ และเพื่อให้เกิดเป็นกิจ คือการพิจารณาซากศพแก่พระเถระในสถานที่นี้ จึงได้ไปบอกแก่เศรษฐีว่า ข้าแต่ท่านเศรษฐีมีพระสงฆ์องค์หนึ่งมาอาศัยอยู่ที่ป่าช้า พวกเราเคารพนับถือท่านมากมีอมาตย์คนหนึ่งได้อยู่รวมกับเศรษฐีได้ยินคำพูดนาง กาลีพูดกับเศรษฐ ี ตริตรองดูกันแล้วปลาบปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง อมาตย์ได้นำเอาคำที่นางพูด ไปกราบทูลให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบ พระองค์ทรงทราบแล้วทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง พระองค์พร้อมด้วยหมู่พลเสนาเสด็จไปถึงที่อยู่ของพระกาลเถระ

ในกาลนั้นได้เสด็จเข้าไปนมัสการพระเถระด้วยเบญจังคประดิษฐ์ ได้ประทับนั่งในสถานอันสมควรแล้วได้ตรัสถามข่าวคราวของพระพุทธเจ้าต่อพระ เถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ไหนหรือ?  พระกาลเถระทูลว่า  ประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์ มหาบพิตร พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงขอโอกาสแล้วตรัสกับพระเถระว่า ธัมมจิตรเศรษฐีสองสามีภรรยามีลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อว่า เขมา มีรูปร่างสดสวยงดงามยิ่งนัก ยิ่งด้วยทรัพย์สมบัติ ยิ่งด้วยสิริโฉม เป็นที่รัก ใคร่ชอบพอของผู้คนทั้งหลาย ทรงโฉมเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คนทั่วไป  ได้ถึงแก่อนิจกรรม เศรษฐีผู้เป็นบิดามารดาได้จัดแจงสิ่งของประดับประดานางเขมาผู้เป็นลูกสาว แล้วร้องไห้ครํ่าครวญอย่างที่สุด ข้าวปลาอาหารก็ไม่เป็นอันรับประทาน ประหนึ่งว่าจะสิ้นลมหายใจตายตามไปด้วย

พระกาลเถระจึงตรัสกับพระราชาอีกว่า    ดูกรมหาบพิตร เราจะต้องชี้แจงทำให้ปรากฎขึ้นในโลก เพื่อให้สำเร็จประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งพระสงฆ์พราหมณ์และหญิงชายทั้งหลายให้ เขาเหล่านั้นได้ยินได้ฟังได้เห็นได้ประจักษ์จะได้เกิดความสังเวชใจ จะได้กำจัดโลภะโทสะและโมหะเสีย ให้ตั้งความปรารถนาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า จะได้เรียนได้รู้แล้วนำมาพิจารณาธรรม 3 ประการนี้แล้วจะได้บรรลุมรรคผลตามความต้องการของตน

พระราชาครั้นได้สดับดังนั้นแล้ว จึงขอโอกาสตรัสถามพระกาลเถระอีกว่า การจัดแจงศพนั้นทำอย่างไร ขอพระคุณเจ้าได้แสดงแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
ลำดับนั้น พระกาลเถระ ได้ชี้แจงขั้นตอนของการจัดแจงศพดังนี้ว่า    ข้าแต่มหาบพิตร พึงต้มน้ำให้เดือดแล้วยกลงปล่อยให้เย็นลงแล้วอาบศพนั้น ให้เคี้ยวหมากให้ละเอียดแล้วใส่ลงไปในปาก ให้ใส่เงินทองลงไปในปากให้เอาด้ายผูกที่หัวแม่มือหัวแม่เท้า  ให้เอาไม้ไผ่ซีก 2 อัน ยาวเท่าตัวศพวางขนาบไว้ทั้ง 2 ข้าง สิ่งนี้เรียกว่า ตุ่นจะเน็าแจฺวะ เมื่อจะยกศพลงจากบ้าน ให้ตักน้ำไว้ 1 หม้อ เรียกว่า เหฺนิงโมมัง  ให้ถือกระจกบานหนึ่ง มีดเล่มหนึ่ง แล้วให้ขีด สกัดทางเดินที่นำศพออกไป ให้มองแต่ข้างหน้า อย่าให้หันกลับมาดูข้างหลังให้ดูแต่ในกระจกกับมีดเท่านั้น ครั้นศพไปถึงป่าช้าแล้วให้เวียนรอบป่าช้า ๓ รอบแล้วนำเอาศพไปวางไว้ที่เชิงตะกอน ให้ตั้งเสาขึ้น ๖ ต้น ให้ใส่น้ำไว้ในที่นั้น เรียกว่า  แต็ะหยฺางแหล็ะหงฺ ิ่ม  นํ้าขัน ๑ กับมะพร้าวผลหนึ่งให้ตั้งไว้ข้างหน้า ในเวลาที่เคลื่อนศพไปนั้น มหาบพิตรโปรดแจ้งให้ผู้คนทั้งหลายพร้อมทั้งหมู่พระสงฆ์ได้ทราบโดยพร้อม เพรียงกัน พระราชาได้ทรงสดับคำของพระเถระแล้ว ทรงสงบนิ่งเงียบอยู่

  • พิจารณาดูศพ

พระราชาได้สดับถ้อยคำ(การจัดศพ)อย่างนั้นแล้ว จึงกราบลาพระเถระ เสด็จกลับพระราชวัง ครั้นแล้วได้ตรัสสั่งมาตย์คนหนึ่งให้ไปบอกแจ้งแก่เศรษฐี สามีภรรยาถึงวิธีจัดการศพเขมาผู้ธิดาตามคำแนะนำของพระกาลเถระ
ในเวลาที่เคลื่อนศพไปนั้นพระราชาอมาตย์และพระสงฆ์หมู่ใหญ่ก็ได้เสด็จนำศพส่ง จนถึงป่าช้า พระกาลเถระสั่งให้ตักน้ำไว้ ๑ ขัน กับมะพร้าว ๑ ผลวางไว้ข้างหน้าแล้วให้พระสงฆ์ทั้งหลายเข้าไปพิจารณาดูศพนางเขมาธิดาเศรษฐี ซึ่งเขาได้ประดบั ประดาตกแต่งไว้ด้วยเครื่องใช้ไม้สอยเสื้อผ้าอาภรณ์ พระสงฆ์เห็นแล้วพากันสรรเสริญ
พระกาลเถระให้นำน้ำ ๑ ขันกับนํ้ามะพร้าวพรมใส่ศพ แล้วให้ตัดด้ายที่ผูกมือเท้าศพออก ให้จุดไฟขึ้น แล้วให้หมู่พระสงฆ์เข้าไปพิจารณาดูศพนั้นอีก ด้วยสาเหตุเช่นนั้น เราท่านทั้งหลายจึงต้องเข้าไปดูศพ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้แล

  • เหตุที่ต้องใช้ำน้าร้อน

พระราชาตรัสถามว่า ข้าแต่พระกาลเถระ ด้วยเหตุผลกลใด ท่านจึงให้จัดการศพอย่างนี้เล่า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้อย่างแจ่มแจ้ง ด้วยข้าพเจ้ามีความรู้น้อยด้อยปัญญา ท่านโปรดเมตตาช่วยชี้แจงให้กระจ่างด้วยเถิด

พระกาลเถระจึงได้อธิบายชี้แจงขึ้นอีกว่า    ดูกรมหาบพิตร คนทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสังสารวัฏนี้ บุญกับบาป ๒ อย่างนี้ เป็นเช่นกับฟืนกับไฟกล่าวคือกุศุลกรรมและอกุศลกรรมซึ่งเผาผลาญคนทั้งหลาย ตั้งแต่เกิดจนถึงพระนิพพาน หากได้สร้างสมกุศลกรรมไว้ก็สามารถ ประคับประคอง รักษากายใจไว้ได้หากสร้างสมอกุศลกรรมไว้มากก็จะต้องเดือดเนื้อร้อนใจ เป็นกำลังเหมือนอย่างน้ำร้อนนั้นแหละ ด้วยพิจารณาเห็นดังนี้จึงต้องใช้น้ำร้อนแล

  • เต้าเตา ๓ เต้า

ข้าแต่พระกาลเถระ เต้าเตา ๓ เต้านั้น จะชี้แจงประการใดเล่า
พระกาลเถระถวายพระพรว่า ดูกรมหาบพิตร เต้าเตา ๓ เต้านั้น ได้แก่ ภพ ๓ คือ กามภพ กล่าวคือ เปรต นรก เดรัจฉาน อสุรกาย เทวดา สวรรค์ ๖ ชั้น รูปภพ กล่าวคือ พรหม ๑๖ ชั้น อรูปภพ กล่าวคือ อรูปพรหม ๔ ชั้น คนทั้งหลายตายแล้วต้องเกิด เกิดแล้วต้องตาย ต้องวนเวียนอยู่ในภพ ๓ นี้ ขอให้ผู้คนทั้งหลายได้ตัดขาดจากภพภูมิทั้ง ๓ นี้แล้วมุ่งไปสู่นิพพานอันเป็นสถานบรมสุขไม่ต้องพบประสบทุกข์อีก จึงต้องวางเต้าเตา ๓ เต้าไว้ดังนี้แล

  • ตั้งหม้อไว้บนเต้าเตา

ข้าแต่พระกาลเถระ หม้อที่ตั้งไว้บนเต้าเตานั้น อย่างไรเล่า
พระกาลเถระถวายพระพรว่ารูปกายสังขารของเราทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นมานี้ ก็เหมือนกับหม้อเพราะมัน เปราะบางแตกง่าย นํ้าที่เดือดอยู่นี้ ก็ได้แก่ โลภะโทสะโมหะที่เดือดอยู่เพราะอารมณ์ทั้ง ๖ คืออตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผู้คนจะต้องหมกอยู่ในอารมณ์ทั้งหลายตลอดระยะเวลาไม่รู้จักสิ้น เวลาที่ฟืนหมดไปไฟดับลงได้แก่เวลาที่บุคคลถึงความเป็นพระอรหันต์ เหตุนั้นแหละจึงต้องตั้งหม้อบนเต้าเตาไว้

  • ด้ายผูกมือเท้า

ข้าพระกาลเถระ ด้ายที่ผูกมือเท้าศพนั้น เหตุอันใดเล่า
พระกาลเถระถวายพระพรว่า ดูกรมหาบพิตรด้ายที่ผูกมือเท้าศพนั้น เรียกว่า บ่วงสาม ได้แก่ ลูกคือบ่วงคล้องคอ ทรัพย์สมบัติคือ บ่วงคล้องเท้า สามีภรรยาคือ บ่วงคล้องมือลักษณะทั้ง ๓ นี้แก้ออกยาก บ่วงทั้ง ๓ น ี้จะตัดด้วยมีดที่แหลมคมก็หาขาดไม่ แม้เอาไฟมาเผาก็ตาม เอาน้ำมาแช่ไว้ต่อนานแสนนานชั่วกัปป์ร้อยกัปป์หรือพันกัปป์ก็ตาม สภาพที่บ่วง ๓ จะขาดไปหามีไม่ ท่านผู้มีปัญญาพิจารณาดู แล้วให้สดับตรับฟังธรรม ไหว้พระ รักษาศีลเจริญภาวนา มุ่งทำกุศลสร้างสมความดีแล้ว ปัญญาเปรียบได้กับมีดที่คมสามารถที่จะตัดด้ายที่มือเท้าศพเสียลงได้แล้วเข้า ถึงพระนิพพานแล

  • ไม้ไผ่ซีกยาวเท่าศพ

ข้าแต่พระเถระ ไม้ไผ่ซีกยาวเท่าศพที่วางไว้นั้น จะชี้แจงประการใดเล่า
พระกาลเถระถวายพระพรว่า ไม้ไผ่ขนาบศพที่วางไว้ข้างศพนั้นดุจดังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ทรงกรุณา สั่งสอนไว้ ให้บุคคลกระทำตามพระดำรัสของพระพุทธองค์ให้ละทิ้งความประพฤติที่ผิดใน บาปอกุศล ให้พินิจพิจ ารณาอยู่เสมอว่าเราต้องตาย คนอื่นนก็ต้องตาย ไม้ไผ่เหมือนกับหลักปฏิบัติทำความเห็นของมนุษย์ให้ตรง เพื่อให้มนุษย์ทั้งหลายพิจารณาดูและฝึกจิตของตน ไม้ไผ่ ๒ ซีกนี้ได้แก่ กฎเกณฑ์หรือหลักปฏิบัติ จึงต้องวางไว้แล

  • จ่องแหฺนะฮ์

(จ่อง=เตียง แหนฺ ะฮ ์ น่าจะเพียนนจากคำว่า แจะหนู่= ที่พักหมายถึงเตียงพัก(ร่าง)

ข้าแต่พระกาลเถระ ที่ต้องวางลงบนแท่นวางศพนี้ จะชี้แจงประการใดเล่า
พระมหาเถระถวายพระพรว่า ขั้นของแท่นวางศพ ๔ ขั้น ได้แก่ ภูมิ ๔ คือ อบายภูมิ ๑ สุคติภูมิ ๗ รูปภูมิ ๑๕ และอรูปภูมิ ๑๔ ให้พิจารณาจะได้พ้นจากทุกข์ในวัฏฏสงสารให้มุ่งถึงนิพพานอันเป็นที่พักของ โบราณบัณฑิตไม่ต้อ งกลับมาเห็นความทุกข์ทั้ง ๒ วาระนั้น จึงต้องวางไว้บนแท่นวางศพอย่างนี้แล

  • หุงข้าวป้อนข้าว

ข้าแต่พระเถระ ให้หุงข้าวป้อนข้าว จะชี้แจงประการใดเล่า
ดูกรมหาบพิตร ถ้ามีคนมาถามว่า หุงข้าวไว้แล้วจะให้พวกญาติของเราให้มาดูข้าวดูฟืนไฟให้หรือจะได้ตอบว่าบัด นี้หาได้เป็นญาติของเราไม่เป็นเศษเนื้อไปแล้ว ให้บัณฑิตชนพิจารณาถึงรูปขันธ์ของตัวเองจะได้บรรลุถึงสุคติ ให้พิจารณาว่าสังขารของเราทั้งหลายไม่แน่น่อน ดังนั้น แล้วจึงต้องหุงข้าวป้อนข้าว กระทั่งจนถึงปัจจุบันนี้

  • การไม่ให้นำศพออกทางประตู

ข้าแต่พระเถระ การไม่ให้นำศพออกทางประตูนั้น จะชี้แจงประการใดแล
พระเถระถวายพระพรว่า ด้วยให้ความสำคัญแก่พระเจ้าสุทโธธนะซึ่งเป็นศากยวงศ์ ประตูเป็นที่เข้าออกของพวกทาสทั้งหลาย ด้วยเหตุที่พระองค์เป็นศากยวงศ์ จึงไม่ให้นำศพออกทางประตู ให้รื้อฝาเรือนแล้วนำศพออกไปแล

  • หันเท้าศพไปข้างหน้า

ข้าแต่พระกาลเถระ เหตุใดเล่าเวลานำศพออกจึงให้หันเท้าไปข้างหน้า
พระเถระถวายพระพรว่า ดูกรมหาบพิตร ก่อนหน้านั้นได้หันศีรษะศพไปข้างหน้า แต่ด้วยเหตุแห่งพระศพของพระเจ้าสุทโธทนะ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินส่งพระศพ ด้วยอำนาจบารมีของพระพุทธองค์ เหล่าเทวดาทั้งหลายจึงต้องหันพระบาทพระศพของพระเจ้าสุทโธทนไปข้างหน้า ด้วยเหตุนี้จึงหันเท้าไปข้างหน้า จนกระทั่งในปัจจุบันนี้

  • บอกให้ศพฟังธรรม

ข้าแต่พระกาลเถระ เมื่อถึงป่าช้าแล้ว บอกกับศพว่า ฟังธรรม ฟังธรรมดังนี้ เหตุอันใดจึงกล่าวเช่นนั้น
พระเถระถวายพระพรว่า ดูกรมหาบพิตร ด้วยสาเหตุที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นช้างฉัททันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณ ๕๐๐ รูปเห็นพระยาช้างฉัททันต์ล้มตายลงจึงได้เข้าไปสวดมาติกาพร้อมกับกล่าวว่า โยมทายกท่านจงฟังธรรม แล้วได้สืบต่อมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

  • โยนผ้าห่อศพข้ามศพไปมา ๓ ครั้ง

ข้าแต่พระกาลเถระ เวลาเผาศพให้เอาผ้าห่อศพโยนข้ามศพไปมา ๓ ครั้ง จะชี้แจงประการใดเล่า
พระเถระถวายพระพรว่า  ดูกรมหาบพิตร ภพทั้ง ๓ นี้ไหม้อยู่ด้วยไฟ โลภะ โทสะ และโมหะ ให้ผู้คนทั้งหลายได้เห็นได้พิจารณาดู หากมีกุศลก็หนีพ้นได้ถ้ากุศลไม่มีก็ต้องเสวยทุกข์ในอบาย ๔ แน่นอน เหมือนผ้าซึ่งไม่ไหม้ไฟ ประสงค์ให้ผู้คนทั้งหลายได้พิจารณาดู จึงต้องโยนผ้าเหนือไฟไปมา ๓ ครั้งแล

  • ขีดสกัดทาง

ข้าแต่กาลพระเถระ เมื่อถึงป่าช้าแล้วให้ทำลายหม้อ ให้ขีดสกัดเส้นทางเสีย จะชี้แจงประการใดเล่า
พระกาลเถระถวายพระพรว่า ดูกรมหาบพิตร เส้นทางนี้อย่าให้พวกเราทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพ ๓ อีก ให้มุ่งทำทานรักษาศีลเจริญภาวนาพยายามให้ถึงพระนิพพาน มุ่งสร้างกุศลจะได้พ้นจากภพ ๓ ให้ตั้งใจไว้อย่างนี้จึงให้ขีดสะกัดเส้นทางและทำลายหม้อเสีย

  • ไม่ให้หันดูข้างหลัง ให้ดูแต่ในกระจก

ข้าแต่กาลพระเถระ ไม่ให้คนที่หามแคร่หามหันดูข้างหลัง ให้ดูแต่ในกระจก จะชี้แจงประการใดเล่า
พระกาลเถระถวายพระพรว่า อันนี้ได้แก่สัตว์โลกที่เกิดมาแล้วนี้ ถ้าเป็นมนุษย์ดำรงชีพอยู่พ่อแม่สามีภรรยาพี่น้องก็จะเป็นที่รักใคร่ของกัน และกันอย่างยิ่ง ครั้นตายแล้วก็จะเป็นที่รังเกียจเป็นที่หวาดกลัวอย่างมาก กลับกลายเป็นที่รังเกียจของผู้คนทั้งหลาย เหตุนั้นแหละแคร่หามที่ห่ามไปข้างหน้า  จึงไม่ให้หันดูข้างหลังให้พิจารณาดูคนที่หามแคร่หามไปข้างหน้า อย่าให้จิตใจหวนกลับมาสู่บาปอีกอย่าสั่งสมไว้ในอนาคต อย่าให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพ ๓ นี้อีก ให้มุ่งสู่พระนิพพานสถานบรมสุข ไม่ต้องหันมากลับเห็นความทุกข์ในภายหลัง ให้ตั้งใจไว้ในภายภาคหน้าว่าจะได้ทำทานรักษาศีลเจริญภาวนานำพาตนเองไปเพื่อ จะได้พ้นจากอบาย ๔ จะได้ถึงพระนิพพานสถานบรมสุขซึ่งสว่างไสวโชติช่วงประดุจกระจก ที่ถือไว้นั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ให้หันกลับมาดูข้างหลังให้ดูแต่ในกระจกฉะนี้แล

  • เวียนศพ

ข้าแต่พระเถระ เหตุใดเล่าจึงเวียนศพ ๓ รอบ
พระกาลเถระถวายพระพรว่า ดูกรมหาบพิตร การกระทำอย่างนี้เพื่อให้ผู้คนทั้งหลายได้เห็นว่า เกิดแล้วต้องตาย ตายแล้วเกิดอีก ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏไม่รู้จบสิ้นให้สัตว์โลกทั้งหลายพิจารณาทำเป็น อารมณ์ อย่าปรารถนากลับมายังโลกนี้อีก อย่าให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏในโลกทั้ง ๓ นี้อีกให้ พิจารณารู้ถึงโทษของสังสารวัฏ ดังนั้นจึงต้องให้เวียนศพ ๓ รอบแล

  • น้ำมะพร้าว

ข้าแต่พระกาลเถระ ให้นำน้ำมะพร้าวไปด้วยนั้น เหตุอันใดเล่า
พระกาลเถระถวายพระพรว่า น้ำในแม่น้ำก็ดี ในมหาสมุทรก็ดี ได้แก่ปุถุชนทังหลายทที่จิตใจขุ่นมัวอยู่อกุศลบาปนี้ เปรียบได้กับมหาสมุทร บางครั้งก็ใสสะอาด บางครั้งก็ขุ่นมัว เปรียบเหมือนจิตใจของปุถุชน คนบางคนใจเป็นกุศล บางคนใจเป็นอกุศล บางคนตอนเป็นเด็กใจเป็นกุศล แก่แล้วใจเป็นอกุศล บางคนตอนเป็นเด็กใจเป็นอกุศล โตขึ้นใจเป็นกุศล บางคนใจเป็นกุศลล้วนๆ ตั้งแต่เด็กจนแก่ก็มี ด้วยปุถุชนทั้งหลายมีจิตใจไม่มั่นคง กระเพื่อมอยู่ตลอดระยะเวลาไม่รู้จักสงบ ต้องกระแสอารมณ์รัก ต้องกระแสอารมณ์โลภะโทสะโมหะแล้ว  บางครั้งจิตใจดี บางครั้งไม่ดีบางครั้งจิตใจคิดร้าย จิตใจของสัตว์โลกทั้งหลายเป็นต่าง ๆ นานา หยั่งรู้ได้ยากยิ่งนัก ขุ่นมัวเหมือนน้ำในมหาสมุทรที่ขุ่นมัวอยู่ตลอดระยะเวลาไม่รู้จักใสนั้นแหละ นํ้ามะพร้าวนั้น ได้แก่จิตใจของพระอริยสงฆ์ผู้บรรลุพระอรหันต์ซึ่งได้กำจัดอกุศลทั้งหลายอัน ได้แก่กิเลส ๑๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ เสียสิ้น เป็นผู้บริสุทธิ์ใสสะอาด ด้วยเหตุที่เป็นผู้ไม่ขุ่นมัว ใสสะอาดอยู่ เปรียบได้กับนํ้ามะพร้าวนี้แล

  • เงินทองใส่ปาก

ข้าแต่พระเถระ เอาเงินทองใส่ในปากศพนั้น จะชี้แจงประการใดแล
พระกาลเถระถวายพระพรว่า  ข้าแต่มหาบพิตร การเอาเงินทองใสลงในปากศพนั้น ได้แก่การที่คนทั้งหลายเมื่อยังมีชีวิตอยู่โลภในทรัพย์อยากจะร่ำรวยทำไรไถนา ลำบากกายแล้วได้ทรพัย์จำนวนมากก็มีบ้าง บางคนใช้เล่ห์เหลี่ยมคดโกง เอาข้าวของคนอื่นซึ่งไม่ชอบธรรมก็มีบ้าง แล้วเอาทรัพย์เหล่านั้นมาบริโภคดำรงชีพทุกคืนวันอันไม่ชอบธรรรม แม้นมีใจศรัทธา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเอาทรัพย์เหล่านั้นมาทำบุญให้ทานก็หาเป็นกุศลไม่ เมื่อถึงเวลาตายเช่นนี้แล้วอย่าป่วยกล่าว ไปไยเลย แค่เงินทองเท่าปีกแมลงวันที่เขาใส่ไว้ในปากยังเอาไปไม่ได้เลย ให้สาธุชนทั้ง หลายพึงชำระจิตใจเสีย ใหกำจัด ความโลภ อย่าหลงไหลในทรัพย์สินเงินทอง ให้พิจารณาถึงโทษของมัน ให้มุ่งแสวงหาโดยชอบธรรมทำบุญ ให้ทานสมาทาน ศีล เจริญภาวนาซึ่งงเป็นทรัพย์อันประเสริฐกว่าเงินทองอันเป็นที่รักทรัพย์สมบัติ อันเป็นที่หวง เพื่อจะชำระจิตใจของผู้คนทั้งหลายจึงต้องใส่เงินทองไว้ในปากแล

  • ใส่หมากในปาก(เคี้ยวละเอียด)

ข้าแต่พระกาลเถระ ที่ให้ใส่หมาก(เคี้ยวละเอียด)ในปากนั้น จะชี้แจงประการใดเล่า
พระกาลเถระถวายพระพรว่า สิ่งนี้ได้แก่ผู้คนทั้งหลายผู้มีจิตใจบาปหยาบช้า คำพูดร้ายกาจ เบียดเบียนขัดขวางข่มขู่ผู้อื่น  โกหกมดเท็จมีบอกว่าไม่มี  ไม่มีบอกว่ามี คำพูดเชื่อถือไม่ได้ ฉลาดแกมโกง ยุยงส่งเสริมให้เขาเสียทรัพย์ทำลายเขา ทำให้เขาใจเสีย ล้มเลิกความตั้งใจของเขา พูดอย่างใจอย่าง ไม่คำนึงถึงข้างหน้าข้างหลัง จิตใจถ่อยสถุลไม่เกรงกลัวบาปไม่อายบาป เมื่อถึงเวลาตายเช่น นี้แล้ว แค่หมากที่เคี้ยวละเอียดแล้วในปากยังเคี้ยวไม่ได้ เคี้ยวไม่ไหว คนอื่นต้องเคี้ยวใส่ในปากให้ ขอสาธุชนทั้งหลายพึงพิจารณาดูให้มาก ให้กำจัดคำพูดที่เลวทรามเสียทั้งหมด สิ่งอันเป็นโทษให้เว้นเสียให้พูดแต่คำที่เป็นจริง แล

คว่ำภาชนะเครื่องสาน (ประเภทกระบงุ กระจาด)

ข้าแต่พระเถระ เมื่อคนทั้งหลายลุกกลับ คว่ำกระบุงทิ้งนั้น จะชี้แจงประการใดเล่า
พระกาลเถระถวายพระพรว่า ข้าแต่มหาบพิตร ญาติของเราต้องคว่ำหน้าลงกับแม่ธรณีแล้ว พูดอย่างนี้แล้วให้คว่ำกระบุงนั้นแลให้พิจารณาดูให้แจ้งชัดจะได้เข้าถึงสุคต ภูมิ  หากไม่พิจารณาอย่างนี้จะต้องเสวยทุกข์ในอบาย ๔ คือ เปรต นรก สัตวเดรัจฉาน อสุรกายอย่างแน่นอน เห็นอย่างนี้แล้วให้นึกถึงกุศลจะได ้ ไปถึงพระนิพพานสถานอำมฤตกำจัดทุกข์ในสังสารวัฎเสีย จึงต้องคว่ำกระบุงแล

ผลานิสงส์การเผาศพ

ผู้ใดได้เผาศพพ่อแม่อุปัชฌาย์อาจารย์และญาติผู้ใหญ่ ทำเชิงตะกอน
เผาศพมีอานิสงส์มาก บุคคลนั้นจะได้ความสุขในโลกนี้อย่างแน่นอน
ผู้ใดนิมนต์พระสงฆ์มาพิจารณาศพ จะได้รับอานิสงส์ ๒,๐๐๐
ผู้ใดนำส่งศพชาวบ้าน จะได้อานิสงส์ ๒๐,๐๐๐
เก็บกระดูกวัวควายเผา จะได้รับอานิสงส์ ๕๐๐ เก็บศพที่
ลอยน้ำเผาชักผ้าบังสุกุล จะได้รับอานิสงส์ ๗๐๐
ได้แบกศพคนไร้ญาติคนกำพร้าจะไดรับอานิสงส ์๒,๐๐๐
เก็บศพที่เขาหาตัดทิ้ง จะได้รับอานิสงส์  ๑,๐๐๐ ได้แบก
ศพญาติพี่น้องและญาติผู้ใหญ่ จะได้รับ อานิสงส์ ๘๐,๐๐๐
ได้แบกศพคนมีศีล ๕ ศีล ๘ จะได้รับอานิสงส์ ๒๐,๐๐๐ ได้แบกศพพระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์๑๐๐,๐๐๐

ผู้ใดได้จัดการการงานนั้นด้วยตนเอง จะได้รับ อานิสงส์ ๙๐๐,๐๐๐
ได้แบกศพพ่อแม่ จะได้รับอานิสงส์ ๗,๐๐๐,๐๐๐
ได้แบกศพอุปัชฌาย์ อาจารย์จะได้รับอานิสงส์ ๙๐๐,๐๐๐
ได้แบกศพพระอรหันต์ จะได้รับอานิสงส์ ๑๐ อสงไขยกัปป์
ได้แบกศพพระปัจเจกพุทธเจ้า จะได้อานิสงส์ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐
หญิงชายทั้งหลายที่ได้แบกพระศพของพระพุทธเจ้า จะได้รับอานิสงส์เป็นอนันต์นับประมาณมิได้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อย่างนี้แล

พระมหาจรูญ ญาณจารี  แปลจากคัมภีร์ใบลานมอญของวัดคงคาราม จ. ราชบุรี