ค้นหา
เมนู
- หน้าหลัก
- หมวดหมู่
- ภัยพิบัติ (65)
- ธรรมชาติ (286)
- วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (172)
- สังคม (2814)
- วัฒนธรรม (3270)
- ความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรม (19)
- ชาติพันธุ์ (531)
- ประเพณี (780)
- ภูมิปัญญาไทย (1652)
- เครือข่ายทางวัฒนธรรม (204)
- วัฒนธรรมหลวง (17)
- เนื้อหาวัฒนธรรมรอจัดหมวด (0)
- ศิลปะและการบันเทิง (699)
- ศาสนาและจิตวิญญาณ (7090)
- เนื้อหารอจัดหมวด (26)
- ค้นหาชั้นสูง
- บริจาคเนื้อหา
- เกี่ยวกับโครงการ
ล็อกอิน
สะบ้าทอยกีฬาหนุ่มชาวมอญ
สะบ้าทอยกีฬาหนุ่มชาวมอญ
พีระ กาบแก้ว
ในปีพุทธศักราช ๒๓๕๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าให้สร้างเมืองหน้าด่านทางทะเลขึ้นที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกว่า “ เมืองนครเขื่อนขันธ์ ” หรือพระประแดงในปัจจุบันเพื่อป้องกันข้าศึกทางทะเล เมื่อสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์เสร็จแล้ว ได้อพยพชายฉกรรจ์ จำนวน ๓๐๐ นาย จากอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี มาทำหน้าที่รักษาเมืองนครเขื่อนขันธ์ และยังมีการสร้างป้อมปราการอีกหลายแห่ง
ในจำนวนชายฉกรรจ์ทหารมอญ ๓๐๐ นาย ยังมีครอบครัวและ ญาติพี่น้องได้ติดตามมาภายหลังอีกเป็นจำนวนมาก และได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามเขตรอบ ๆ เมืองนครเขื่อนขันธ์ เป็นส่วนใหญ่ โดยตั้งชื่อตามหมู่บ้านตนเองที่อพยพมา ซึ่งรวมได้ประมาณ ๑๖ หมู่บ้าน ชื่อหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านจะเรียกเป็นภาษามอญว่า “ กวาน ” เช่นกวานเว่ขะราว กวานจางบี (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกรมทรัพยากรธรณี) กวานเต่อ กวานดาง กวานเกริงกาง กวานฮะเริ่น กวานตา กวานฮะโต่นเจิญ กวานเชียงใหม่ กวานโรงเกลิ่ง กวานทรงคนอง กวานอะมาง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา) กวานแซ่ร์ กวานทะมัง กวานตองอุ๊ กวานเดิงฮะโมกข์ และยังมีหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แฝงอยู่ในหมู่บ้านอื่นอีกหลายแห่ง ชาวบ้านทั้ง ๑๖ หมู่บ้าน ประกอบอาชีพการทำนาเป็นส่วนใหญ่ การทำนาในสมัยนั้นจะไปทำตามอำเภอต่าง ๆ เช่น อำเภอพระประแดง อำเภอบางพลี อำเภอบางบ่อ อำเภอเมืองในจังหวัดสมุทรปราการ เขตมีนบุรี เขตลาดกระบัง เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร เมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว ทุกครัวเรือนจะกลับมาอยู่ที่ เมืองนครเขื่อนขันธ์ หรือพระประแดง หรือที่ชาวบ้านเรียนตัวเองว่า “ ชาวปากลัด ” ประมาณเดือนมีนาคม – เมษายน ทุกปี ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์
ก่อนถึงวันสงกรานต์ประมาณ ๑๐ วัน ทุกหมู่บ้านจะเริ่มกวนขนมกะละแม มอญเรียกว่า “กวานฮะกอ” กันทุกครัวเรือน เพื่อเตรียมไว้ทำบุญในวันสงกรานต์ และแจกญาติพี่น้อง เมื่อถึงวันสงกรานต์ทุกหมู่บ้านจะหุงข้าวแช่เพื่อนำไปถวายพระตามวัดมอญต่าง ๆ เราจะได้เห็นสาว ๆ แต่งตัวแบบมอญที่สวยงามเดินถือถาดใส่ข้าวแช่หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ส่งข้าวสงกรานต์” ซึ่งเป็นภาพที่บ่งบอกถึงความเคร่งครัดในพระพุทธศาสนาของชาวมอญ
พอตกเย็นหนุ่มเล็ก หนุ่มใหญ่ ก็จะมารวมตัวกันตามลานบ้านที่มีลานขนาดกว้างไม่ต่ำ ๓ - ๔ วา.( ๖ – ๘ เมตร ) ความยาวไม่ต่ำ ๑๕ วา.( ๓๐ เมตร ) เพื่อมาเล่นสะบ้าทอยกัน มอญเรียกว่า “ว่านฮะเหน่ะทอย” การเล่นสะบ้าทอยนั้นนิยมเล่นกันในกลุ่มชายฉกรรจ์ ที่มีพละกำลังร่างกายแข็งแรง เป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ผู้เล่นสนุกสนาน ผู้ดูก็สนุกสนานไปด้วย ถือเป็นการออกกำลังกาย พักผ่อนหลังจากสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว และยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ของคนมอญในแต่ละหมู่บ้านอีกด้วย และไม่นิยมเล่นเป็นเกมส์การพนัน จะมีก็เพียงสุรา กับแกล้ม เล็ก ๆ น้อย ได้เสียก็กินด้วยกันในหมู่คณะเท่านั้น
การเล่นสะบ้าทอยในอดีตจะเล่นกันตามหมู่บ้านที่มีสถานที่กว้างขวาง ในปัจจุบันมีเล่นที่วัดทรงธรรมวรวิหารเพียงแห่งเดียวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ การเล่นสะบ้าทอยนั้นผู้เล่นจะต้องแต่งกายด้วยชุดลอยชายหลากสีแบบมอญ ๆ ทำให้บรรยากาศไม่เหมือนกีฬาประเภทอื่น ส่วนการเล่นสะบ้าทอยที่ปากลัดหรือนครเขื่อนขันธ์หรือพระประแดงนั้น ต่อไปนี้ผู้เขียนขอใช้คำว่า “ปากลัด” แทนคำว่าพระประแดงหรือนครเขื่อนขันธ์
การทำบ่อนสะบ้าทอย ก่อนเล่นสะบ้าทอยจะต้องจัดหาสถานที่หรือบ่อนที่มีขนาดใหญ่พอทำบ่อนสะบ้าได้ โดยใช้ไม้กระดานกั้นเป็นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า กันลูกสะบ้าลื่นไถลออกนอกสนามหรือบ่อน มีความกว้าง ๔ วา.( ๘ เมตร ) ความยาว ๑๕ วา.( ๓๐ เมตร ) หรือมากกว่านั้นตามความเหมาะสมของสถานที่ ส่วนพื้นบ่อนหรือสนามนั้นจะต้องเป็นดินผสมทรายอัดแน่น เรียบ เพื่อให้ลูกสะบ้าลื่นไถลไกลตามแรงโยนหรือทอย การทำสนามแข่งขันสะบ้าทอยนั้นจะแบ่งสนามเป็น ๓ ช่วงในบ่อนเดียวกัน คือระยะ ๑๐ วา.(๒๐ เมตร) ๑๒ วา.(๒๔ เมตร) และ ๑๕ วา.(๓๐ เมตร) เพื่อแบ่งรุ่นการแข่งขันได้สะดวก เช่น รุ่นเล็ก แข่งขันในระยะ ๑๐ วา. (ประเภทมือใหม่) รุ่นกลาง แข่งขันในระยะ ๑๒ วา. (ประเภทเคยแข่งขันรุ่นเล็กมาแล้ว) และประเภทรุ่นใหญ่ แข่งขันในระยะ ๑๕ วา. (รุ่นนี้เคยผ่านการแข่งขันมาหลายครั้งแล้ว) สำหรับลูกสะบ้าที่ใช้สำหรับทอยจะทำด้วยไม้เนื้อแข็งและแกร่ง จะทำให้ไม่หักหรือแตกง่ายเมื่อกระทบกับพื้นขณะที่ทำการทอย ลูกสะบ้าทอยมีลักษณะกลมแบนลบเหลี่ยมหนึ่งด้านจำนวน ๖ ลูก. มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๒ ซม. หนาประมาณ ๒ ซม. น้ำหนักประมาณ ๒๕๐ - ๓๐๐ กรัม. ส่วนลูกสะบ้าที่ใช้ตั้งทำด้วยไม้เนื้อแข็งลักษณะกลมแบบไม่ลบเหลี่ยมจำนวน ๑๐ ลูก. เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๖ ซม. หนาประมาณ ๑.๕ ซม.
การแข่งขันสะบ้าทอยนั้นจะลงแข่งขันกันเพียงทีมละ ๑ คนเท่านั้น โดยการจับฉลากว่าใครจะอยู่ด้านเหนือลมหรือใต้ลม หนุ่ม ๆ ที่ลงเล่นสะบ้าทอยแต่ละครั้งจะต้องแต่งกายด้วยเสื้อลายดอกหลากสี และที่สำคัญต้องนุ่งผ้าลอยชาย ซึ่งเป็นกีฬาที่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไม่เหมือนใครและก็ไม่มีใครเหมือนเช่น กัน เมื่อลงสู่สนามแข่งขันแล้วคณะกรรมการจะแนะนำตัวแต่ละฝ่ายให้ผู้ชมได้ทราบ และผู้แข่งขันแต่ละฝ่ายจะต้องตั้งลูกสะบ้าของตนให้เรียบร้อย คือแถวกลางตั้งแบบแถวเรียงหนึ่ง จำนวน. ๓ ลูก. ห่างกันประมาณ ๕๐ เซ็นติเมตร. ๓ ลูกนี้เรียกว่า หัว – ตัว – หาง ส่วนอีก ๒ ลูกที่เหลือจะต้องตั้งไปทางซ้ายและขวาของแถวกลางด้านละ ๑ ลูก.ให้ตรงกับลูกที่ ๒ ของแถวกลาง ห่างจากแถวกลางประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ๒ ลูกนี้เรียกว่า ปีกขวาและปีกซ้าย ถ้ามองดูแล้วจะเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนนั่นเอง เมื่อตั้งลูกสะบ้าเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายที่เลือกทางลมก่อนหรือเลือกทอยสะบ้าก่อน ก็จะเอาลูกสะบ้าทั้ง ๖ ลูก ทอยไปยังฝั่งตรงข้ามครั้งละหนึ่งลูกจนครบ ๖ ลูก ให้ถูกลูกสะบ้าของฝ่ายตรงข้ามที่ตั้งไว้จนล้มหมดทั้ง ๕ ลูก แต่ถ้าทอยลูกสะบ้าไปถูกลูกสะบ้าฝ่ายตรงข้ามล้มหมดก่อนก็ไม่ต้องทอยอีก และให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ทอยลูกสะบ้ามายังอีกฝ่ายเช่นกันจนครบลูกสะบ้าทอย ทั้ง ๖ ลูก แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยังทอยลูกสะบ้าที่ตั้งไว้ทั้ง ๕ ลูกล้มไม่หมด ยังมีโอกาสทอยสะบ้าได้อีกครั้งหนึ่งจำนวน ๖ ลูกเช่นกัน รวมแล้วคนหนึ่งมีสิทธิ์ทอยสะบ้า ๑๒ ลูก เสร็จแล้วให้มีการสลับข้างกันและมีการตั้งลูกสะบ้าทั้ง ๕ ลูกใหม่ทั้ง ๒ ฝ่าย และทอยลูกสะบ้าเหมือนครั้งแรกจนครบฝ่ายละ ๑๒ ลูกเช่นเดียวกัน รวมแล้วแต่ละฝ่ายมีโอกาสได้ทอยถึง ๒๔ ลูก การทอยสะบ้าและการให้คะแนน การแข่งขันสะบ้าทอยนั้น จะกำหนดไว้เป็น ๓ รุ่น ผู้ใดมีความสามารถรุ่นใดก็จะเข้าแข่งขันในรุ่นนั้นดังกล่าวแล้ว เดิมการแข่งขันจะไม่มีการนับคะแนน จะ ทอยกันไปจนกว่าฝ่ายใดจะทอยลูกสะบ้าของฝ่ายตรงข้ามล้มหมดก่อนก็ถือว่าชนะ มาระยะหลังเนื่องจากอาชีพการงานและเศรษฐกิจเปลี่ยนไป จึงทำให้การแข่งขันสะบ้าทอยและกติกาเปลี่ยนแปลงไปด้วย อย่างไรก็ตามการเล่นสะบ้าทอยส่วนมากจะนิยมเล่นในหมู่ผู้ชาย เพราะท่าทางที่เล่นและความแข็งแกร่งในการเล่น ไม่เหมาะสมกับกิริยาของผู้หญิง ส่วนคะแนนลูกสะบ้าแถวกลางทั้ง ๓ ลูก ถ้าฝ่ายใดทอยถูกสะบ้าที่ตั้งไว้ในแถวกลางจะเป็นลูกหัว ลูกกลาง หรือลูกท้าย(หัว – ตัว – หาง) ก็จะได้ลูกละ ๑ คะแนน แต่ถ้าทอยถูกลูกทางซ้ายหรือทางขวา(ปีกซ้าย – ปีกขวา) ก็จะได้ลูกละ ๒ คะแนน รวมแล้วเป็น ๗ คะแนน ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะ
ในระหว่างการแข่งขันนั้นบรรยากาศจะเต็มไปด้วยสีสรรค์ของการแต่งตัวแบบมอญ ๆ เสียงเชียร์หยอกล้อของแต่ละฝ่ายด้วยคำศัพท์ว่า เด็ดหัว เด็ดตัว เด็ดหาง เด็ดปีกขวา เด็ดปีกซ้าย ส่วนผู้ชมนั้นก็ได้รับความสนุกสนานติดตามเกมส์ว่าจะออกมาในรูปใด และเต็มไปด้วยความตื่นเต้นหวาดเสียวในการทอยลูกสะบ้าแต่ละครั้งว่าลูกสะบ้า จะหลงทิศทางมาถูกตัวเองหรือเปล่า ได้รับความ สนุกสนาน ทั้งผู้เล่น ผู้ชม และเป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะของคนมอญแต่ละกวานอีกด้วย
ดังนั้นประเพณีการเล่นสะบ้าทอย(ว่านฮะเหน่ะทอย) ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนกลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของชาวไทยเชื้อสายมอญ การเล่นสะบ้าทอยนอกจากจะเป็นการออกกำลัง ได้แสดงพละกำลัง ความแม่นยำในการแข่งขันและเชื่อมความสามัคคีแล้ว ยังเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างชาวมอญในท้องถิ่นอื่น ๆ อีกด้วย การเล่นสะบ้าทอยนี้จะหาชมได้ในบริเวณวัดทรงธรรมวรวิหาร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปากลัดทุก ๆ ปี.