วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
05/05/2009
ที่มา: 
บ้านทรงไทยดอทคอม www.bansongthai.com

เรือนไทยภาคเหนือ 

คำว่า “ภาคเหนือ” ในที่นี้ได้แก่ จังหวัดต่าง ๆ ทางภาคเหนือของประเทศไทย ในปัจจุบันคือ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร และอุตรดิตถ์ ฉะนั้นคำจำกัดความของ “เรือนไทยภาคเหนือ”ก็คืออาคาร หรือเรือนพักอาศัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ในท้องที่ต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว ถือได้ว่าป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่แสดงให้เห็นประเพณีวัฒนธรรมล้านนา

1. ภูมิศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน

ในเขตจังหวัดภาคเหนือส่วนหนึ่งมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม ภูเขา หุบเขา และที่ดอนบนเทือกเขาสูง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,500-3,000 เมตร นับตั้งแต่เทือกเขาด้านตะวันตกในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนอ้อมมาส่วนเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และด้านตะวันออกที่จังหวัดน่าน ลักษณะสภาพทางภูมิศาสตร์ข้างต้น ทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐานขึ้น 2 แบบคือ

1) ที่ดอนบนดอย
หรือทิวเขา เป็นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ ทำการกสิกรรมแบบไร่ เลื่อนลอย

2) บนที่ราบลุ่ม
เป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมล้านนา

การตั้งถิ่นฐานทางภาคเหนือนี้ เริ่มตั้งแต่เรือนหลังเดียวในเนื้อที่หุบเขาแคบ จนถึงระดับหมู่บ้านและเมือง ซึ่งการขนานนามหมู่บ้านนั้นข้นอยู่กับสภาพของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เช่น หมู่บ้านที่ขึ้นต้นด้วย “ปง”คือบริเวณที่มีน้ำซับ”สัน” คือบริเวณสันเนินหรือมีดอน “หนอง” หมายถึง บึงกว้าง “แม่” คือที่ตั้งที่มีลำธารไหลผ่าน ดังนั้นชื่อเดิมของหมู่บ้านจึงเป็นการบอกลักษณะการตั้งถิ่นฐานแต่แรกเริ่ม

อ้างอิงต้นฉบับ : http://www.bansongthai.com/content/view/82/31/1/1/


2. เรือนล้านนาแบบต่าง ๆ


จากสภาพการตั้งถิ่นฐานของชุมชนภาคเหนือ ทำให้เกิดเรือนประเภทต่าง ๆ ขึ้นตามสภาพการใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งเรือนพักอาศัยออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้

1) เรือนชนบท
หรือเรือนเครื่องผูก เรือน ประเภทนี้หาดูได้ทั่วไปตามชนบทและหมู่บ้านต่าง ๆ เรือนชนิดนี้โครงสร้างส่วนหลังคา ตงพื้นใช้ไม้ไผ่ ส่วนคานและเสานิยมใช้ไม้เนื้อแข็ง ฝาเป็นฝาไม้ไผ่สาน หลังคามุงแฝกหรือใบตองตึง นิยมใช้ตอกและหวายเป็นตัวยึดส่วนต่าง ๆ ของเรือนเข้าด้วยกันด้วยวิธีผูกมัด

เรือนชนบทเป็นเรือนขนาดเล็ก ถือว่าเป็นเรือนแบบดั้งเดิม เพราะวิธีการก่อสร้างเป็นวิธีการที่เก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันชาวบ้านที่มีรายได้น้อย ยังนิยมปลูกสร้างเรือนเครื่องผูกนี้ทั้งในตัวเมืองและชนบท

2) เรือนกาแล
เป็นเรือนพักอาศัยของผู้มีอันจะกิน ผู้นำชุมชนหรือบุคคลชั้นสูงในสังคม ตั้งแต่ระดับชนบทถึงระดับเมือง เรือนประเภทนี้เป็นเรือนที่สร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง หรือไม้จริงทั้งหมด เรียกตามลักษณะของไม้ป้านลม หลังคาส่วนปลายยอดที่ไขว้กัน ซึ่งชาวเหนือเรียกส่วนที่ไขว้ กันนี้ว่า “แล”

สำหรับคำว่า “เรือนกาแล” เป็นชื่อที่นักวิชาการทางสถาปัตยกรรมบัญญัติไว้ เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างเรือนไม้จริงแบบที่ 3 หากแต่ชาวล้านนาในปัจจุบันเรียกว่า “เฮือนบ่าเก่า”(เฮือนคือเรือน บ่าเก่าคือโบราณ)เพราะเป็นเรือนทรงโบราณของล้านนานั่นเอง

ลักษณะพิเศษของเรือนกาแลอยู่ที่ยอดจั่วประดับกาแลเป็นไม้สลักอย่างงดงาม ใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพดี ฝีมือช่างประณีต แต่มีแบบแผนค่อนข้างตายตัว ส่วนใหญ่เป็นเรือนแฝด มีขนาดตั้งแต่หนึ่งห้องนอนขึ้นไป

โดยทั่วไปเรือนประเภทนี้จะมีแผนผัง 2 แบบใหญ่ ๆ คือ แบบที่ 1 เอาบันไดขึ้นตรงติดชานนอกโดด ๆ แบบที่ 2 เอาบันไดอิงชิดแนบฝาใต้ชายคาคลุม ทั้งสองแบบนี้จะใช้ร้านน้ำตั้งเป็นหน่วยโดด ๆ มีโครงสร้างของตัวเอง ไม่นิยมตีฝาเพดาน ปัจจุบันเรือนกาแลดูได้ยาก เพราะมีหลงเหลือให้เห็นเพียงไม่กี่หลัง

อย่างไรก็ตาม เรือนชนิดนี้เป็นเรือนที่แสดงถึงวิวัฒนาการของกระบวนการก่อสร้างบ้านพัก อาศัยของชาวล้านนาที่ถึงจุดสูงสุดก่อนได้รับอิทธิพลจากต่างถิ่น ตลอดจนเป็นเรือนที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของชาวล้านนาอย่างชัดเจน ทั้งการวางผังพื้นที่ การจัดห้องต่าง ๆ ภายในตัวเรือน ตลอดจนรูปทรง ล้วนสะท้อนถึงแบบแผนการดำเนินชีวิตตามระเบียบประเพณีของล้านนาทั้งสิ้น

3. เรือนไม้ เป็นเรือนพื้นเมืองของล้านนาอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นภายหลังเรือนกาแล รูปแบบหรือลักษณะทางกายภาพของเรือนประเภทนี้ เกิดจากการผสมผสานทางวัฒนธรรมการปลูกสร้างแบบดั้งเดิมกับวัฒนธรรมที่ชาวล้าน นาได้รับจากภายนอก ซึ่งช่างล้านนาได้รับระบบวิธีการปลูกสร้างและค่านิยมจากภาคกลางในสมัยรัชกาล ที่ 5 เป็นต้นมา

เรือนประเภทนี้ รูปทรงภายนอกของเรือนจะผันแปรไปตามสมัยนิยม โดยเฉพาะลักษณะฝา ระเบียบการเจาะช่องประตูหน้าต่าง การขึ้นทรงหลังคาที่มีระนาบซับซ้อน เป็นการแสดงถึง อัจฉริยภาพของช่างพื้นเมืองที่รู้จักประสานประโยชน์จากความรู้กับเทคนิค วิทยาการช่างที่ได้รับ มาจากต่างถิ่นได้อย่างกลมกลืน

เรือนไม้บางหลังมีการนำเอาระเบียบวิธีการตกแต่งลายฉลุไม้มาตกแต่งทรงจั่ว หลังคาและเชิงชายตามแบบอิทธิพลช่างไทยภาคกลางที่รับมาจากตะวันตก ชาวล้านนาเรียกเรือนประเภทประดับลายฉลุไม้นี้ว่า “เรือนทรงสะละไน” ซึ่งเป็นคำที่ยังหาความหมายที่ชัดเจนไม่ได้

แต่ก่อนสถาปนิกซึ่งได้รับการศึกษาแนวทางแบบตะวันตกจะเข้ามามีบทบาทในการ เปลี่นรูปแบบเรือนพักอาศัยให้ทันสมัยมากขึ้นนั้นชาวล้านนาเองเรียกเรือนชนิด นี้ว่า “เฮือนสมัยก๋าง” (เรือนสมัยกลาง)หมายถึงเรือนพื้นเมืองที่อยู่ในช่วงสมัยระหว่าง “เฮือนบ่าเก่า”(เรือนโบราณ) กับเรือนแบบสากลยุคใหม่ที่ชาวบ้านเรียกว่า “เฮือนสมัย”(เรือนสมัยใหม่)

อ้างอิงต้นฉบับ : http://www.bansongthai.com/content/view/82/31/1/2/


3. ลักษณะสภาพแวดล้อมเรือนล้านนาดั้งเดิม


ภายในบริเวณบ้านของเรือนล้านนาแต่ละหลังจะมีเนื้อที่ว่างเป็นลานดินกว้าง ภาษา พื้นเมืองเรียกว่า “ข่วงบ้าน” เป็นลานอเนกประสงค์ที่เชื่อมทางเดินเข้าสู่ตัวบ้าน และเชื่อมต่อมายังทางเดินสู่ลานดินข้างเคียงใช้เป็นที่เล่นของเด็ด ๆ และตากพืชผลทางการเกษตร
ลานดินนี้เมื่อถึงคราวเช่นสรวงผีบรรพบุรุษของกลุ่มชนที่นับถือ”ผีมดผีเม็ง” จะใช้เป็นบริเวณปลูกปะรำ หรือ “ผาม” ในภาษาเหนือ เพื่อทำพิธีฟ้อนผี หากบ้านไหนที่มีลูกชายบวชพระหรือบวชเณรก็จะสร้าง”ห้างซอ”(เวทียกพื้นสูง ประมาณเมตรกว่า) ไว้ตรงบริเวณลานดินที่ร่มรื่น เพื่อให้”ช่างซอ”(กลุ่มนักขับลำนำแบบหมอลำ) ขึ้นไปขับลำนำกล่อมขวัญ”ลูกแก้ว” (นาค)
และเมื่อถึงคราวที่คนในครอบครัวเสียชีวิตลงก็จะใช้ลานดินนี้เป็นบริเวรตั้ง “ปราสาท” (บุษบกพื้นบ้านทำด้วยไม้และกระดาษ)เพื่อตั้งศพและชักลากไปสู่ป่าช้า (ที่ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “ป่าเฮ่ว”)ลานดินนี้เจ้าของบ้านจะต้องเก็บกวาดใบไม้แห้งและขยะให้เรียบร้อย หากบ้านใดปล่อยให้รกสกปรกจะถูกตำหนิจากเพื่อนว่าเป็นคนเกียจคร้าน
บริเวณริมลานดินนิยมปลูกไม้ยืนต้นขนาดใหญ่รายล้อมไว้ ส่วนมากเป็นไม้ผลสำหรับรับประทานและให้ร่มเงาแก่ลาน นอกจากนี้ตามคาคบไม้ ชาวบ้านยังนิยมนำกล้วยไม้ป่ามาปลูกประดับเพื่อความสวยงาม
โดยทั่วไปลานดินจะอยู่ส่วนหน้าของบริเวณบ้านชิดกับถนน ตัวบ้านจะปลูกร่นเข้ามาทางข้างหลังของลานดิน ลานหน้าบ้านนี้จะนิยมปลูกไม้ยืนต้นที่มีดอก ส่วนบริเวณหลังบ้านจะเป็นสวนผลไม้ยืนต้น รวมถึงพืชสวนครัวคลุมดิน

สำหรับการแบ่งอาณาเขตของแต่ละบ้านใช้วิธีล้อมรั้วด้วยไม้ไผ่สานขัดกันเป็นตา โปร่ง มีการเปิดช่องทะลุสู่บริเวณบ้านข้างเคียงต่อเนื่องกัน โดยรั้วที่กั้นอาณาเขตบ้านแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

1. รั้วสลาบ เป็นรั้วไม้ไผ่ชนิดหนึ่งที่แข็งแรงที่สุด มีลักษณะเป็นรั้วไม้ไผ่ขัดแตะตามแนวตั้งขัดชิดกันแน่น นิยมใช้เป็นรั้วหน้าบ้านชิดถนน
2. รั้วตาแสง เป็นรั้วไม้ไผ่ขัดเป็นตารูปตารางสี่เหลี่ยมโปร่ง ๆ ส่วนใหญ่ใช้เป็นรั้วข้างและ รั้วหลังบ้าน
3. รั้วตั้งป่องเป็นรั้วโปร่งใช้ไม้รวกลำเล็ก ๆ มาวางสอดกับเสารั้วไม้เนื้อแข็งในแนวนอน ห่างกันราวคืบกว่า ๆ รั้วชนิดนี้เป็นรั้วชั่วคราวเพื่อรอเปลี่ยนเป็นรั้วตาแสงหรือรั้วสลาบในคราว ต่อไป ตามขอบรั้วนิยมปลูกไม้พุ่ม ไม้ดอก และไม้เลื้อยที่เป็นพืชกินได้เช่น บวบ ตำลึง ถั่วพู มะระพื้นเมือง ฯลฯ มีกระถินและชะอมปลูกแซมเป็นระยะ ส่วนรั้วข้างบ้านนิยมปลูกไผ่เลี้ยงและไผ่รวกเป็นแนวกั้นอาณาเขต ภายในบริเวณบ้านจะประกอบด้วยตัวเรือน ยุ้งข้าว บ่อน้ำ ครกตำข้าว และห้องอาบน้ำที่ชาวเหนือเรียกว่า “ต๊อมอาบน้ำ” ใกล้กับบ่อน้ำท้ายบ้านจะเป็นเล้าหมู คอกวัว และคอกควาย และมีโรงเก็บฟางแห้งสำหรับเป็นอาหารของวัวควาย บริเวณคอกวัวควายนี้ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “แล่งวัวควาย”

สำหรับบ้านในย่านเขตเมืองจะไม่มีแล่งวัวควาย เพราะไม่ได้ทำนาตรงบริเวณรั้วบ้าน ใกล้ประตูบ้านจะสร้างเป็นเรือนหรือชั้นเล็ก ๆ สำหรับวางหม้อน้ำพร้อมทั้งกระบวย เพื่อให้ผู้สัญจรไปมาได้ตักดื่ม ถือเป็นการสร้างบุญกุศล ซึ่งภาษาเหนือเรียกว่า “ตานน้ำ”

ส่วนบริเวณที่ดินด้านหัวนอนจะตั้งศาลผีบรรพบุรุษไว้เรียกว่า”หอผีปู่ย่า” ซึ่งจะมีเฉพาะบางบ้านเท่านั้น บริเวณท้ายบ้านเป็นสวนครัวหรือ “สวนฮี้” มีการกั้นรั้วไม้ไผ่สานเพื่อป้องกันเป็ด ไก่ สุนัข เข้าไปทำลายพืชผล

บริเวณรอบ ๆ บ่อน้ำจะปลูกไม้พุ่มไม้ดอก และพืชคลุมดินที่ใช้ปรุงอาหาร ส่วนใหญ่เป็นผักที่ใช้รับประทานกับลาบ เช่น ชะพลู สะระแหน่ ผักไผ่ ฯลฯ ซึ่งนอกจากเป็นการประดับบริเวณให้สวยงามและใช้บริโภคแล้วยังใช้ป็นส่วนบัง สายตาในขณะอาบน้ำ โดยมีการทำร่องน้ำจากที่อาบน้ำให้ไหลเข้าสู่บริเวณสวนครัว

นอกจากนั้น ตามบริเวณขอบบ่อยังปลูกข่า ไพล กระชาย ขมิ้น สลับไว้บริโภคและดูดซับน้ำทิ้งจากบริเวณอาบน้ำ ทำให้สภาพแวดล้อมไม่เกิดการเน่าเสีย อีกทั้งมีการปลูกไม้ผล ยืนต้นบริเวณบ่อน้ำบังแสงแดดส่องเพื่อรักษาน้ำในบ่อให้เย็นอีกด้วย

อ้างอิงต้นฉบับ : http://www.bansongthai.com/content/view/82/31/1/3/


4. องค์ประกอบของเรือนล้านนา

เรือนล้านนาไทยทั้ง 3 ประเภทที่กล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะมีขนาดใดก็ตาม จะมีลักษณะทั่ว ๆ ไปอันเป็นเอกลักษณ์ของเรือนล้านนา โดยมีส่วนประกอบที่สำคัญต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1) บันไดและเสาแหล่งหมา

เรือนล้านนาไทยทั้ง 3 ประเภท ตัวบันไดเรือนจะหลบอยู่ใต้ชายคาบ้านด้านซ้ายมือเสอม จึงต้องมีเสาลอยรับโครงสร้างหลังคาด้านบนตั้งลอยอยู่ แต่โดยทั่วไปเรือนไม้มักจะยื่นโครงสร้างออกมาอีกส่วนหนึ่งโดยทำเป็นชายคา คลุมบันไดหรือเป็นโครงสร้างลอยตัว ส่วนเรือนแฝดประเภทมีชานเปิดหน้าเรือน ไม่หลบบันไดเข้าชายคา แต่จะวางบันไดชนชานโล่งหน้าเรือนอย่างเปิดเผย
เสาลอยโดด ๆ ต้นเดียว ที่ใช้รับชายคาทางเข้านี้เรียกว่า “สาแหล่งหมา” ซึ่งมาจากการที่ชาวเหนือนำหมามาผูกไว้ที่เสานี้นั่นเอง

2) เติ๋น

จากบันไดขึ้นไปมักมีชานบันได ซึ่งเป็นบริเวณที่จะเป็นส่วนเชื่อมพื้นที่ต่าง ๆ ของเรือน ถัดจากชานจะเป็นบริเวณห้องโถงเปิดโล่ง ยกสูงจากระดับชานประมาณ 1-2 คืบ เป็นส่วนที่อยู่ใต้ชายคา มีเนื้อที่ 2 ห้องเสา บริเวณนี้เป็นบริเวณอเนกประสงค์ ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “เติ๋น” เติ๋นจะใช้เป็นที่นั่งเล่น รับแขก รับประทานอาหาร ทำบุญเลี้ยงพระในงานมงคล ใช้ประกอบพิธีกรรมในงานศพ หรือในกรณีที่บ้านนี้มีลูกสาว เวลาค่ำคืนพวกหนุ่ม ๆ ก็จะมาแอ่วสาวที่เติ๋นนี้ หรือในกรณีเรือนที่มีห้องนอนเดียว จะใช้เติ๋นเป็นที่นอนของลูกชาย ส่วนลูกสาวจะนอนกับพ่อแม่ แต่ถ้าเป็นเรือนขนาดเล็กหรือเรือนไม้มักจะตั้งร้านน้ำในบริเวณเติ๋นด้วย

โดยทั่วไปบริเวณเติ๋นของแต่ละบ้านจะเป็นเนื้อที่โล่ง ไม่มีการนำของต่าง ๆ มาเก็บไว้ในบริเวณนี้ แต่จะสร้างที่เก็บของที่ไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ขันโตก หม้อ กระบุง ตะกร้า ฯลฯ ไว้บนเพดานโปร่งใต้หลังคาเติ๋น โดยนำไม้ไผ่มาทำเป็นตะแกรงโปร่ง ลายตารางสี่เหลี่ยมยึดแขวนกับขื่อจันทันและแปหัวเสาของเรือน เพดานตะแกรงโปร่งนี้ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “ควั่น”

ทางตะวันออกของเติ๋นจะเป็นหิ้งพระ บนหิ้งพระนอกจากวางพระพุทธรูปแล้ว ยังมีตระกรุด ยันต์ และสมุดข่อยที่เขียนวรรณกรรมของชาดก รวมถึงตำราฤกษ์ยามทางโหราศาสตร์ ตำรายา รวมอยู่ด้วย

นอกจากนี้ ในสมัยก่อนบริเวณฝาห้องนอนชิดกับหิ้งพระ จะมีภาพเขียนรูปพระธาตุเจดีย์สำคัญ พร้อมกับภาพปีเกิดของเจ้าบ้านแขวนไว้ภาษาเหนือเรียกว่า “รูปตังเปิ้ง” ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวเหนือที่ถือว่าคนที่เกิดปีต่าง ๆ จะต้องไหว้พระธาตุประจำปีเกิดของตนเพื่อความเป็นสิริมงคล

3) ร้านน้ำ

จากชานโล่งหน้าบ้านหรือชานใต้หลังคาตรงริมขอบชานด้านใดด้านหนึ่ง จะมีหิ้งสำหรับวางหม้อน้ำดื่ม พร้อมที่แขวนกระบวยหิ้งน้ำ สูงประมาณ80-100 เซนติเมตร หากหิ้งน้ำอยู่ที่ชานโล่งแจ้งเจ้าของบ้านจะทำหลังคาคลุมลักษณะคล้ายเรือน เล็ก ๆ เพื่อมิให้แสงแดดส่องลงมาที่หม้อน้ำ เป็นการรักษาความเย็นของน้ำดื่ม หิ้งน้ำนี้เรียกว่า”ร้านน้ำ” หรือภาษาเหนือว่า”ฮ้านน้ำ”

ร้านน้ำของเรือนล้านนาถือว่าเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมด้านการอยู่อาศัยของชาวล้านนาโดยเฉพาะ

4) ห้องนอน

ถัดจากเติ๋นจะเป็นห้องนอนที่มีฝาปิดล้อม 4 ด้าน มีประตูทางเข้า เหนือช่องประตูนี้มีไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม เป็นแผ่นไม้ที่ชาวลาวล้านนาเชื่อว่าเป็นแผ่นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ติดไว้เพื่อป้องกันสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่ผ่านเข้าสู่ห้องนอน เรียกว่า "หำยน"

ตรงกรอบประตูล่างมีแผ่นธรณีประตูสูงกว่าขอบประตูปกติ เรียกว่า "ข่มประตู" ทำหน้าที่เป็นกรอบช่องประตู และเป็นเส้นกั้นอณาเขตระหว่างห้องนอนกับเติ๋น

สำหรับห้องนอน ชาวล้านนาถืออย่างเคร่งครัดว่า เป็นบริเวณเฉพาะของสมาชิกในครอบครัว บุคคลภายนอกหรือแขกห้ามเข้าเด็ดขาด หากก้าวเลยข่มประตูเข้ามาเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นการ "ผิดผี" คือกระทำผิดต่อผีบรรพบุรุษจะต้องปรับโทษ พร้อมทั้งทำพิธีขอขมา

ห้องนอนที่อยู่ถัดจากบริเวณเติ๋นเป็นห้องขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับบริเวณอื่น ของเรือน กินเนื้อที่ 3 ห้องเสา โดยเฉพาะเรือนกาแลและเรือนไม้ส่วนเรือนชนบทจะกินเนื้อที่ 2 ห้องเสา ทั้งนี้ขนาดของห้องจะขึ้นอยู่กับขนาดของเรือนแต่ละหลังว่า ใช้ขื่อและคานยาวกี่ศอก

ห้องนอนในเรือนล้านนาจะเป็นห้องโล่ง ๆ สมาชิกของครอบครัวจะนอนรวมกันในห้องนี้ การนอนจะแบ่งเนื้อที่ตามห้องเสา ห้องเสาช่วงในสุดเป็นบริเวณที่นอนของหัวหน้าครอบครัวและภรรยา ถัดมาเป็นบริเวณหลับนอนของลูก ๆ หากลูกคนใดแต่งงานไปก็จะเลื่อนมานอนในห้องเสาถัดไป

การแยกกลุ่มนอนอาศัยการปูเสื่อปูที่นอน การมุงของแต่ละกลุ่ม และใช้ผ้าม่านแบ่งกั้นบริเวณนอนของแต่ละกลุ่มให้มิดชิด ม่านกั้นนี้เรียกว่า "ผ้ากั้น" เวลานอนสมาชิกทุกคนจะหันหัวไปทางทิศตะวันออกห้องนอนซีกตะวันออกทั้งหมดใช้ เป็นบริเวณนอน ส่วนซีกตะวันตกบริเวณปลายตีนนอนจะใช้เป็นบริเวณเก็บของต่าง ๆ ของสมาชิกในครัวเรือน

ในการแบ่งซีกส่วนที่นอนกับที่เก็บของจะแบ่งโดยไม้หนาขนาดกว้างประมาณ 7-8 นิ้ว วางผ่ากลางตัวเรือนยาวตลอดความยาวของเรือนระดับเสมอพื้นเรียกว่า "แป้นต้อง" ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันการสั่นสะเทือนของพื้น เวลาเดินบริเวณซีกปลายเท้า เพื่อไม่ให้รบกวนผู้ที่กำลังนอนอยู่

สำหรับประตูเข้าห้องนอนจะมี 2 ประตู คือ ประตูเข้าจากเติ๋น และประตูข้างซึ่งอยู่ที่ฝาด้านปลายเท้าของเรือนนอน อยู่ช่วงห้องเสาที่ชิดกับเติ๋นเป็นประตูเปิดจากส่วนนอนไปสู่ครัว

5) ห้องครัว

บริเวณห้องครัวจะอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องนอนเสมอ เรือนครัวที่แยกไปอีกหลังหนึ่งจะมีเฉพาะเรือนกาแลและเรือนไม้จริงเท่านั้น โดยจะวางขนานกับเรือนใหญ่หรือเรือนนอน มีช่องทางเดินแยกเรือนครัวออกจากเรือนนอน

ชายคาของเรือนนอนกับเรือนครัวจะมาจรดกันเหนือช่องท่งเดินเรียกว่า "ฮ่อนริน" โดยจะมีรางนำสำหรับรองนำฝนจากหลังคา แต่เดิมรางนำจะเป็นซุงไม้ขนาดใหญ่มีความยาวเท่ากับตัวเรือน มาในชั้นหลังจึงใช้ไม้กระดานประกบกันเป็นรางนำแทน

สำหรับเรือนไม้จริงตรงกลางยอดสันหลังคาจะมีหลังคาขนาดเล็กซ้อนอยู่ เพื่อให้มีช่องระหว่างหลังคา สำหรับระบายควันไฟจากเตาขณะหุงต้มอาหาร

ส่วนด้านหลังของเรือนครัวจะมีชานเล็ก ๆ วางหม้อนำขนาดใหญ่หลายใบ เป็นนำสำหรับใช้ล้างถ้วยชาม

อ้างอิงต้นฉบับ : http://www.bansongthai.com/content/view/82/31/1/4/


5. ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษกับการแบ่งเนื้อที่เรือน

 

ชาวล้านนาเชื่อว่า ผีบรรพบุรุษมีส่วนดลบันดาลความสุขสวัสดีให้แก่ลูกหลาน หากลูกหลานไม่ปฏิบัติตาม "ฮีตฮอย" (จารีต) ที่บรรพบุรุษวางไว้ย่อมเกิดความวิบัติ ซึ่งถือว่าเป็นการ "ผิดผี" การนับถือผีดังกล่าวนี้มีบทบาทสำคัญต่อการแบ่งเนื้อที่ภายในเรือนพักอาศัย อย่างชัดเจนกล่าวคือ

"ผีปู่ย่า" เป็นผีบรรพบุรุษของแต่ละตระกูล ชาวล้านนาเชื่อว่าสิงสถิตอยู่ภายในบ้านเรือน บางครั้งก็เรียกว่า "ผีเรือน" ผีปู่ย่านี้จะคุ้มครองเครือญาติในกลุ่มตระกูลเดียวกันเท่านั้น กลุ่มตระกูลที่มีผีปู่ย่าเดียวกันเรียกว่า "ถือผีเดียวกัน" ที่สิงสถิตของผีปู่ย่าอยู่ที่ศาล หรือ "หอผี" ตั้งอยู่ในที่ดินด้านหัวนอนในหอผี วางเครื่องบูชาอันได้แก่ ขัน ดอกไม้ ธูปเทียน เชี่ยนหมาก นำต้น (คนโทนำ)

บ้านที่มีหอผีเรียกว่า "บ้านเก๊าผี" เป็นบ้านของหญิงในตระกูลที่อาวุโสที่สุด เมื่อคนในตระกูลแยกออกไปตั้งเรือนเป็นครอบครัวใหม่ก็จะแบ่งเอาผีไป ด้วยการแบ่งเอาดอกไม้บูชาผีที่หอผีไปไว้ที่บ้านเรือนตนโดยไปวางไว้ด้านหัว นอนใหล้กับเสามงคล ผู้ที่แยกผีเรือนไปอยู่บ้านอื่นนอกจากบ้านเก๊าผีจะต้องเป็นผู้หญิง เพราะถือเป็นการสืบทอดทางฝ่ายหญิงเท่านั้น

ฉะนั้น ภายในห้องนอนตามคติล้านนาถือว่าเป็นที่สิงสถิตของผีปู่ย่าด้วย และถือเป็นบริเวณเฉพาะของกลุ่มเครือญาติที่ถือผีเดียวกันกล่าวคือเป็นบริเวณ หวงห้ามสำหรับบุคคลภายนอกตระกูลที่ไม่ใช่ผีเดียวกัน

การแบ่งเขตหวงห้ามแบ่งโดย "ข่มประตู"(ธรณีประตู) หากบุคคลภายนอกล่วงลำเกินข่มประตู ถือเป็นการ "ผิดผี" เชื่อว่าจะทำให้ผีโกรธและจะลงโทษผู่ล่วงละเมิดให้มีอันเป็นไป จะต้องทำพิธี "เสียผี" คือขอขมาต่อผีปู่ย่า ด้วยการนำเครื่องสังเวยและเงินค่าปรับโทษมาขอขมาต่อผีปู่ย่ายังบ้านที่ตน ล่วงละเมิด โดยเจ้าของบ้านจะทำพิธีขอขมาภายในห้องนอน

อ้างอิงต้นฉบับ : http://www.bansongthai.com/content/view/82/31/1/5/


  กลับไปหน้ารวม link เรือนไทยทุกภาค ข้อมูลจากบ้านทรงไทยดอทคอมที่นี่