ชนเผ่าอาข่า - สถานการณ์ปัจจุบัน

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
11/01/2008
ที่มา: 
มูลนิธิกระจกเงา โครงการพิพิธภัณฑ์ชาวเขาออนไลน์

 อาข่า - สถานการณ์ปัจจุบัน

วันนี้ของชุมชนอาข่าแทบทุกที่ คนหนุ่มสาวต้องดิ้นรนเข้าไปทำงานในเมืองกันมากขึ้น และดูจะเป็นสถานการณ์ร่วมกันของชุมชนในชนบทหลายๆ แห่งของประเทศ ไม่เฉพาะแต่ในชุมชนของอาข่าเท่านั้น เพราะบางคน ต้องการที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่แปลกใหม่ของกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่กว้างใหญ่ และเต็มไปด้วยสิ่งของที่หลากหลายทางเทคโนโลยี เพื่อมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตของพวกเขา แต่บางคนก็ต้องการเพียงเงิน สำหรับช่วยเหลือพี่ๆ น้องๆ และครอบครัว ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่ทำให้ชุมชนอาข่าเงียบเหงา และดูเหมือนไม่ค่อยมีผู้คน เวลากลางวันเราจะเห็นได้ชัดว่า จะเจอแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ และเด็กในชุมชนอาข่า เพราะว่าวัยกลางคนหรือพ่อแม่ ต้องดิ้นรนทำมาหากินและมีชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงแดดแทบทุกวัน

ขณะที่คนหนุ่มสาวก็ต้องทุ่มเวลากับการเล่าเรียนหนังสือ เพื่อที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาชุมชนของเขาต่อไป และในเวลาที่คนเฒ่าคนแก่อยู่บ้าน ดูแลลูกหลานเฝ้าบ้าน ก็จะมีการจำหน่ายของใช้ต่างๆกับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนในชุมชน เป็นการสร้างรายได้ให้กับคนเฒ่าคนแก่ในชุมชนอาข่าอีกทางหนึ่ง คนแก่ในหมู่บ้านอาข่าแห่งหนึ่งก็บอกว่า ในแต่ละวันตนเองก็มีหน้าที่ในการเลี้ยงดูปูเสื่อหลานสาว ที่เพิ่งวิ่งไปไหนมาไหน แกบอกว่าเหนื่อยเหมือนกัน เพราะต้องคอยวิ่งตามหลานสาวตลอด กลัวว่าหลานสาวจะได้รับอันตราย แต่ยามที่หลานสาวนอนหลับ แกก็จะมาประดิษฐ์ของใช้ต่างๆ เพื่อขายให้กับนักท่องเที่ยวที่มาในหมู่บ้านเวลากลางวัน แกบอกว่าก็ได้มาไม่กี่บาทต่อวัน แต่ก็พอมีตังค์ที่จะซื้อขนมมาให้หลานสาวโดยที่ไม่ต้องไปขอพ่อและแม่ของเด็กเลย 

การพัฒนาของสังคมไทยในหลายๆด้าน ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของอาข่าในปัจจุบัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบกับคนที่อาศัยอยู่ในชุมชนบนพื้นที่สูง ยกตัวอย่างเรื่องที่เราสามารถมองเห็นได้ชัดในตอนนี้คือ ปัญหาการไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกฎหมายของอาข่า ทำให้ชุมชนอาข่าหลายชุมชนได้ถูกอพยพ โยกย้ายจากถิ่นเดิม มาตั้งชุมชนใหม่ ในขนาดเดียวกันก็ส่งผลกระทบในเรื่องที่ทำกิน ประชากรส่วนใหญ่ขาดที่ทำกิน ซึ่งจากปัญหาเรื่องขาดที่ทำกินนี้เองจึงทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกหลายๆด้าน ทั้งเรื่องถูกโกงค่าแรง ปัญหาหนี้สิน ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ หนุ่มสาวต้องออกจากชุมชน ไปหางานทำในตัวเมือง ไม่ว่าไปเป็นเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหาร ขายของ เลี้ยงเด็ก ไปอยู่ในโรงงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะมองเห็นได้เลยว่าเด็กที่ไปหางานทำส่วนมากไม่ค่อยได้รับการศึกษา บางทีตัวเด็กเองไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสือ เพราะเด็กจะคิดว่าเราเรียนหนังสือ สบายๆอยู่ แล้ว ใครจะมาเลี้ยงครอบครัวของเรา นี่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นมากับเด็ก เพื่อต้านรับกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมเมือง หรือบางคนไม่มีพ่อแม่ ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองไปวันๆ หรือบางทีพ่อแม่ของเด็กก็ไม่มีเงินพอที่จะส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือ สุดท้ายต้องให้เด็กตัวเล็กๆเข้าไปหางานทำในตัวเมือง จึงทำให้เกิดปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบขึ้น เนื่องจากอาข่าส่วนใหญ่ไม่ได้รับสิทธิสถานะบุคคลตามกฎหมายไทย และตามนิสัยของอาข่าเป็นกลุ่มชนที่มีความสุขกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ ทำอาชีพเพื่อพออยู่พอกิน ไม่ชำนาญในเรื่องการค้าการขาย อาข่าจึงได้สรรพนามว่าเป็นกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดในภาพรวมของบรรดาชนเผ่า

การขยายบริการไฟฟ้าจากชุมชนใหญ่เข้าสู่หมู่บ้าน ประเด็นนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่เมื่อ พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจะเห็นว่าเป็นส่วน สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ ลานวัฒนธรรมของอาข่า ร้างราผู้คนในเวลากลางคืน ที่ทุกคนได้กลับจากไร่นา กลายเป็นช่วงเวลา ที่ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป เพราะมีรายการโทรทัศน์ หลายรายการที่น่าสนใจติดตาม และให้ข้อมูลข่าวสารที่ทันต่อความเจริญก้าวหน้าของโลกได้มากกว่า การยืนล้อมเป็นวงกลม ร้องเพลงที่ไม่มีวันจบ และดูเหมือนว่าจะมีรายละเอียดของประเพณีมากมายเหลือเกิน
ลานวัฒนธรรม ( แดข่อง ) ในวันนี้กำลังเลือนหาย ไปจากความทรงจำ ของคนรุ่นใหม่ หมู่บ้านชาวเขาเผ่าอาข่า ในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงดาวกระจาย อยู่เต็มฟากฟ้า ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป เพราะเสียงเพลงของ loso และ Taxi กำลังดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขา และนั่นหรือคือทางที่เราได้เลือกแล้ว ?

ใหม่,เก่าดีอย่างไร
1.การเดินทาง
@ การเดินทางทุกที่โดยการเดินเท้า ผมได้ยินคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านกล่าวเสมอว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ เราจะไปแค่นี้ไม่ต้องขี่รถราอะไรหรอก เราเดินไม่กี่เก้าก็ถึงแล้ว ยิ่งเดินเราก็ยิ่งไม่เหนื่อย แถมมีสุขภาพที่แข็งแรงอีกต่างหาก การเสียเหงื่อระหว่างการเดินทางด้วยเท้า ถือเป็นวิธีที่คนชนเผ่าเราไม่เฉพาะอาข่าเท่านั้น ที่ใช้ในการคมนาคมไปมาหาสู่กัน

@ การเดินทางโดยใช้ม้าเป็นพาหะ ม้าคือสัตว์ที่อาข่าหรือแทบทุกชนเผ่าที่ใช้ในการต่างสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ คนอาข่าถือว่าม้าเป็นสัตว์ที่แข็งแรง เลี้ยงง่าย จึงเหมาะที่จะนำมาใช้ในวิถีบนภูดอย สัตว์ที่ได้ชื่อว่าม้านั้น นอกจากใช้เป็นพาหะในการขนสิ่งค้าต่างๆแล้ว ยังเป็นสัตว์ที่ใช้ในการเดินทางอีกด้วย ไม่ว่าการเดินทางไปต่างหมู่บ้าน หรือการเดินทางในระยะทางที่ไกลออกไป..
@ การเดินทางโดยรถหรือเครื่องทุ่นแรงที่มาจากการประดิษฐ์ของมนุษย์เรา
ในยุคของปัจจุบัน จะเดิน จะไปไหนที่แห่งหนใด เป็นอันต้องมีรถมอเตอร์ไซค์เป็นอย่างน้อย หรือถ้าคนที่มีฐานะขึ้นมาอีกหน่อยก็ใข้รถยนต์ ในยุคที่อะไรๆก็ต้องใช้เงินซื้อ จะซื้ออะไรๆก็ต้องควักเงินจากกระเป๋ามาจ่าย สำหรับชนเผ่าเราที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ๆไม่ห่างไกลจากตัวเมืองนัก หรือแม้กระทั่งกับคนที่อยู่ห่างออกไปจากความเจริญก็ตาม ก็ต้องดิ้นรน เพื่อจะได้มาซึ่งสิ่งของเหล่านี้ เพื่อได้มาซึ่งความสะดวกสบายในการเดินทางและในหลายๆด้าน ไม่มีเงินก็ผ่อนทีละนิดๆ หรือไม่ก็ยืมเพื่อนบ้าน หรือเครือญาติ เป็นอันว่ามีหนี้เกิดขึ้น นั่นหมายถึงมีภาระอีกภาระหนึ่งที่มาเยือนคุณ โดยคุณจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับคนที่พอมีฐานะหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องยากที่พวกเขาจะมี จะใช้ จะเป็นอย่างคนอื่นเขาบ้าง

อยากบอกว่าการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของอาข่าเรา นับวันยิ่งหาดูได้ยาก หลายหมู่บ้านหลายชุมชนเริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ไม่ว่าเรื่องของความเป็นอยู่ ประเพณีวัฒนธรรมที่งดงาม แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่หนีไม่พ้น คือสัญชาตญาณที่ได้รับการปลูกฝังมาจากบรรพบุรุษ 


http://www.hilltribe.org/thai/akha/akha-current.php