คนในสังคมยุคนี้ ควรจะอยู่ร่วมกับปัญหาโดยไม่ทุกข์ให้ได้

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
28/11/2007
ที่มา: 
ระพี สาคริก 4 ธันวาคม 2548

คนในสังคมยุคนี้
ควรจะอยู่ร่วมกับปัญหาโดยไม่ทุกข์ให้ได้ 
ระพี  สาคริก***************************************************************************************สัจธรรมได้ชี้ไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า บุญและกรรมอยู่ที่ใจเราเอง เพราะฉะนั้น โปรดอย่าเดินหลงทางไปค้นหาที่อื่น เนื่องจากรังแต่จะเกิดความทุกข์         ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์แต่ละคนเมื่อเริ่มต้นเกิดมา ย่อมมีเงื่อนไขแห่งกรรมแฝงมาในรากฐานจิตใจด้วย

        อนึ่ง เราควรจะรู้อยู่เสมอว่า ภายในภาพรวมของชีวิตมนุษย์แต่ละคน ประกอบด้วยจิตใจและร่างกาย นอกจากนั้นหากพิจารณาให้เห็นได้ลึกซึ้งถึงระดับหนึ่ง ย่อมหยั่งรู้ได้ว่า จิตใจคือพื้นฐานกำหนดพฤติกรรมโดยใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือสื่อข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งวิถีทางดังกล่าวย่อมสะท้อนกลับมาช่วยให้หยั่งรู้ความจริงที่อยู่ในจิตใจตนเองเป็นวัฏจักร ทำให้ความคิดหยั่งรากลงลึกซึ้งยิ่งขึ้น

          ทั้งนี้และทั้งนั้น เนื่องจากขณะที่ชีวิตของแต่ละคนเกิดมา ย่อมมีเงื่อนไขแห่งกรรมแฝงมาด้วย ดังได้กล่าวมาแล้ว นอกจากนั้นความคิดในช่วงเริ่มแรกของชีวิต บางคนก็ตื้นเขินมาก บางคนก็ลึกซึ้งพอสมควร ซึ่งจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันนี้ อาจพิจารณาได้ว่าคือสิ่งที่เรียกกันว่าบุญเก่า หรือกรรมเก่าซึ่งแต่ละคนย่อมมีระดับไม่เท่ากัน

อย่างไรก็ตามสภาพดังกล่าวนับว่าเป็นจุดเริ่มแรกของพื้นฐานการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งแวดล้อมที่เน้นความสำคัญของชีวิตคนในสังคมซึ่งอยู่บนพื้นฐานความหลากหลายเป็นครูสอนตัวเอง

โดยเหตุที่แต่ละคนต่างก็มีเงื่อนไขอยู่ในรากฐานจิตใจแตกต่างกัน ย่อมส่งผลสะท้อนกลับมาทำให้เกิดความรู้สึกรักและพอใจบางคน กับอีกด้านหนึ่ง รู้สึกไม่ชอบหรือไม่พอใจบางคนเป็นสิ่งคู่ขนานกันไป ช่วยให้แต่ละคนจำเป็นต้องยอมรับความจริงทั้งสองด้าน อีกทั้งเป็นเหตุและผลที่สานต่อไปถึงความจริงซึ่งอยู่ในรากฐานจิตใจตนเองเพื่อการอยู่รอด

นอกจากนั้นกระแสดังกล่าวยังมีผลทำให้เงื่อนไขซึงอยู่ในรากฐานจิตใจคนได้รับการชำระล้างทั้งสองฝ่ายอีกทั้งมีผลช่วยให้พื้นฐานจิตใจตนเองอิสระและเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น หรือไม่ก็อาจคับแคบมากขึ้น สุดแต่เงื่อนไขซึ่งมีอยู่เดิม

          สัจธรรมจึงได้ชี้ไว้ว่า มนุษย์แต่ละคนเกิดมาเพื่อการเรียนรู้ หรืออีกนัยหนึ่งมนุษย์แต่ละคนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่า รวมถึง มนุษย์ที่อยู่ร่วมกันย่อมมีการเรียนรู้ซึ่งกันและกันเป็นสัจธรรม หากรากฐานจิตใจปลอดจากเงื่อนไข หรืออยู่ในสภาพว่างเปล่า ชีวิตมนุษย์แต่ละคนก็คงไม่อาจเกิดมาได้

          เนื่องจากส่วนที่เป็นร่างกายถ้าจะมีโอกาสเกิดมา หากไม่มีเงื่อนไขอยู่ในจิตใจตนเองแฝงมาด้วย ย่อมไม่มีเหตุที่จะเกิดพฤติกรรมเรียกร้องจากภายนอกเพื่อต้องการช่วยให้ร่างกายอยู่รอดนับแต่ช่วงเริ่มแรก

ดังจะพบว่า ชีวิตเด็กอ่อนซึ่งยังช่วยตัวเองไม่ได้ จำต้องร้องขอให้พ่อแม่ช่วยเหลือ ย่อมมีเหตุสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขที่แฝงอยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง ซึ่งมีความสัมพันธ์อยู่กับอิทธิพลความต้องการของร่างกายเป็นสิ่งกำหนด

          ช่วงหลังๆ ความโลภที่แฝงอยู่ในจิตใจของแต่ละคน มีผลทำให้ชีวิตคนส่วนใหญ่ในสังคมซึ่งนำเอาวัตถุจากธรรมชาติที่มีความหลากหลายอยู่ในบรรยากาศภายนอกมาใช้ประโยชน์ เพื่อช่วยให้ตนอยู่รอด แต่ไม่อาจหยุดยั้งได้ เนื่องจากความไม่รู้จักพอ จึงเลยไปถึงการนำมาใช้สนองความสะดวกสบายแก่ตัวเองและพรรคพวกอันนับได้ว่าเกินความจำเป็น จึงถูกมอมเมาโดยกระแสการเปลี่ยนแปลงของวัตถุซึ่งตนได้สร้างไว้เอง จนกระทั่งหลงอยู่กับความสบายส่งผลให้เกิดการลืมตัว ทำให้รากฐานจิตใจซึ่งเคยหยั่งลงถึงพื้นดินถิ่นเกิดของชีวิตถูกทำลายลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทำให้ไม่สามารถรู้เท่าทันต่ออิทธิพลจากภาวะมอมเมาของสิ่งแวดล้อม

          โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งแวดล้อมที่เป็นเพื่อนมนุษย์ ทำให้มวลมนุษยชาติที่อยู่รวมกัน ซึ่งต่างก็มีความเห็นแก่ตัวมีการแข่งขันเอารัดเอาเปรียบกันรุนแรงยิ่งขึ้น โดยหลักสัจธรรมแล้วสิ่งที่เป็นความจริงได้ชี้ไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า มนุษย์ที่เกิดมาจำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน อีกทั้งเรียนรู้ความจริงจากใจระหว่างกันและกันด้วย

หากตกอยู่ในสภาพเห็นแก่ตัวย่อมปฏิเสธความจริงดังกล่าว ทำให้หวนกลับมาทำร้ายกันเองแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ดังจะเห็นได้จากคนยุคนี้ที่กลุ่มบุคคลผู้มีโอกาสขึ้นไปอยู่ด้านบนซึ่งมีสมมติฐานไว้ว่าควรจะทำหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคมแต่กลับหวนลงมาทำร้ายผู้คนซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าตน รวมทั้งทำร้ายคนพวกเดียวกันด้วย

          สภาพของคนเห็นแก่ตัวย่อมเน้นการมองสิ่งต่างๆ ออกจากตนเองมากกว่า  เพราะมีสติปัญญาที่มืดบอด จนกระทั่งมองไม่เห็นโอกาสที่จะหยั่งรู้ได้ว่า ปัญหาต่างๆ คือเงื่อนไขที่แฝงอยู่ในจิตใจตนเอง เนื่องจากแรงดึงดูดของเงินและวัตถุจากภายนอก มีผลทำให้เน้นการมองออกจากตนเอง เลยไปถึงการมุ่งคิดร้ายทำร้ายกันโดยเชื่อว่า ปัญหาซึ่งเกิดขึ้นแก่ตนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของผู้อื่น

อนึ่ง นิสัยของคนเห็นแก่ตัว หลังจากเกิดความทุกข์เพราะแรงกดดันที่สะท้อนออกมาจากปัญหา จึงมักมุ่งไปโทษผู้อื่น แทนที่จะหวนกลับมาพิจารณาค้นหาความจริงจากใจตนเองและมุ่งข่มใจเพื่อลบล้างอิทธิพลของเงื่อนไขที่ทำให้เกิดปัญหาซึ่งอยู่ในใจตนเองให้ได้

          คนที่เห็นแก่ตัวจึงมีแนวโน้มเป็นคนเขลาและขลาด หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่า ผู้ที่ไม่อาจหวนกลับมาเอาชนะใจตนเองได้ ย่อมมีนิสัยเห็นแก่ตัว อีกทั้งเป็นคนโง่เขลาและขี้ขลาดเป็นธรรมดา ส่วนผู้ที่มีจิตใจมั่นคงอยู่กับความจริงซึ่งอยู่ในจิตใจตนเอง ย่อมสามารถหยั่งรู้ความจริงจากใจผู้อื่นได้ไม่ยาก จึงเป็นผู้ที่มีนิสัยเห็นใจผู้อื่น หรือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่างเป็นธรรมชาติ

          ธรรมชาติได้พิสูจน์ความจริงให้ผู้ที่หยั่งรู้สัจธรรมของชีวิตตนเองสามารถหยั่งรู้ความจริงจากชีวิตคนในสังคมได้ทุกเรื่องว่า ไม่มีสิ่งใดที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาแล้วจะเกิดการสูญสิ้นไปทั้งหมด อย่างน้อยหนึ่งเดียวก็ยังมีหลงเหลืออยู่ จึงช่วยให้วิถีการเปลี่ยนแปลงหวนกลับมาเริ่มต้นใหม่อย่างเป็นวัฏจักร หากทุกสิ่งทุกอย่างสูญสิ้นไปทั้งหมด วิถีการเปลี่ยนแปลงที่ควรจะหมุนวนกลับมาเริ่มต้นใหม่อย่างเป็นธรรมชาติย่อมไม่อาจเป็นไปได้ ซึ่งสิ่งนี้มีทฤษฎีธรรมชาติที่พิสูจน์ได้มาโดยตลอด

          แม้แต่วิชาสถิติขั้นพื้นฐานซึ่งฝรั่งจำลองแบบมาจากความจริงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือพยากรณ์ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ก็ยังสมมติสูตรในระดับล่างสุดไว้ว่า ( n - 1 ) ทำให้ผู้ที่เรียนสถิติซึ่งสติปัญญาขาดความสมบูรณ์ ไม่อาจหยั่งรู้ความจริงจากสิ่งสมมติ จึงหลงคิดไปว่าสัญลักษณ์ในวิชานี้เป็นของจริง ทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก

แต่ผู้ที่มีสติปัญญาไม่ยึดติดอยู่กับรูปแบบของสูตร ช่วยให้สามารถมองผ่านลงไปถึงความจริง ย่อมเกิดความเข้าใจเชื่อมโยงไปถึงชีวิตทั้งพืชและสัตว์รวมถึงคนอันเป็นสัจธรรมในระดับพื้นฐานได้ไม่ยาก

          ดังเช่นที่ ผู้เขียนเคยเขียนบทความโดยหวังผลให้มีการศึกษาวิเคราะห์สิ่งซึ่งอยู่ในใจตนเองไว้หลายเรื่อง เช่นบทความเรื่อง การเอาชนะใจคนด้วยความดี ย่อมช่วยแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง นอกจากนั้นยังมีเรื่องอื่นๆ อีก เช่น ท่ามกลางดงหนามคือแหล่งกำเนิดของปราชญ์ สิ่งเหล่านี้หากแต่ละคนผ่านการดำเนินชีวิตมาจนกระทั่งถึงจุดปรับเปลี่ยนย่อมช่วยให้หยั่งรู้ความจริงได้ว่า ปัญหาซึ่งแต่ละคนรู้สึกได้ มีผลสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขที่อยู่ในใจตนเอง ย่อมเข้าใจบทความดังกล่าวได้ไม่ยาก

          หลายคน หลังจากเกิดความทุกข์เพราะคิดว่าปัญหาต่างๆ เป็นผลสืบเนื่องมาจากสิ่งที่อยู่ภายนอก หากได้รับการเตือนภัยที่กล่าวฝากไว้ว่า ให้เอาชนะใจตนเอง มักบ่นว่าทำได้ยาก หากนำเรื่องนี้มาพิจารณาให้เห็นได้ทั้งสองด้านย่อมรู้สึกว่า ปัญหาคือครู ซึ่งมีบทบาทสอนให้วิถีชีวิตตนเองเข้าถึงธรรมชาติ

หรืออีกนัยหนึ่ง การเรียนรู้ธรรมะย่อมได้รับความรู้จากสิ่งที่เป็นปัญหา แทนที่จะหลงยึดติดอยู่กับสิ่งสมมติซึ่งคนในอดีตประดิษฐ์ขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือสื่อการสอนบนพื้นฐานของการจัดการ จนกระทั่งชีวิตตัวเองจำต้องเดินหลงทางต่อไป

          ถ้าจะกล่าวว่า ขอให้แต่ละคนอยู่ร่วมกับปัญหาได้โดยไม่ทุกข์ อาจมีหลายคนโต้แย้งว่า ปัญหามีผลสร้างความทุกข์ให้กับคน จะช่วยให้ไม่ทุกข์ได้ยังไง? บางคนก็กล่าวเตือนผู้อื่นว่า ให้รู้จักปล่อยวาง แต่ตัวเองยังมีกิเลสหนาจึงไม่อาจปล่อยวางได้ เนื่องจากเข้าใจว่า การปล่อยวางคือการไม่ทำอะไรเลย

        ส่วนบุคคลผู้มีสติปัญญาลึกซึ้งย่อมหยั่งรู้ความจริงได้ว่า การปล่อยวางย่อมช่วยให้ตนทำงานได้คล่องตัวและมีความสุขมากกว่าเก่า เนื่องจากสามารถหยั่งรู้แล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่เพื่อนมนุษย์ทุกคนที่อยู่ในกระแสสิ่งแวดล้อม หาใช่เป็นผู้สร้างปัญหาไม่ จึงมองเห็นโอกาสที่จะนำปฏิบัติร่วมกับทุกคนซึ่งอยู่บนพื้นฐานความหลากหลายได้อย่างปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง แม้กลุ่มคนซึ่งถูกสังคมรังเกียจ ดังนั้นสิ่งที่กล่าวมาแล้วควรจะมีความหมายช่วยให้เข้าใจคำว่า ปล่อยวาง เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์โดยผู้มีรากฐานจิตใจลึกซึ้งถึงระดับหนึ่งแล้ว

          เช่นเดียวกัน ผู้ที่หยั่งรู้ถึงความจริงถึงระดับหนึ่งแล้วอาจกล่าวจากความเชื่อมั่นได้ว่า ถ้าใครสักคนหนึ่ง จะอยู่ร่วมกับปัญหาได้อย่างมีความสุข บุคคลผู้นั้นคงไม่คิดแล้วว่า ปัญหาต่างๆ เกิดจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หากอยู่ในใจตนเองโดยแท้

        จากข้อความซึ่งชี้ถึงความจริงที่กล่าวมาแล้ว ผู้เขียนใคร่ขออนุญาตหวนกลับมาชี้ให้เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายพึงสนใจเรียนรู้ความจริงและพิจารณาต่อไปอีกว่า การคิดเอาชนะใจตนเองเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ควรจะมองเห็นเหตุและผลได้ทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งหากมีบุคคลใดก็ตามยกย่องสรรเสริญหรือเชิดชูตน ควรกำหนดจิตใจให้เป็นกลางหรือวางเฉยเสียได้ แม้ด้านนอกควรมีน้ำใจที่แสดงความขอบคุณโดยมารยาท นอกจากนั้นหากมีผู้แสดงออกอันเกิดจากการหวังประจบสอพลอเพื่อหวังผลประโยชน์ให้กับตัวเอง ย่อมรู้เท่าทันจึงไม่ตกเป็นเหยื่อ

          กับอีกด้านหนึ่ง ถ้ามีผู้อื่นกล่าวร้ายหรือคิดทำร้าย ทั้งๆ ที่ตนตั้งใจทำดีที่สุดแล้ว แทนที่จะรู้สึกน้อยใจหรือคิดว่าตนสูญเสีย การเอาชนะใจตนเองย่อมเสริมสร้างรากฐานจิตใจให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น อีกทั้งไม่คิดโต้ตอบ หรือแม้แต่พยายามชี้แจงเหตุผลเพื่อหวังแก้ตัว จนกระทั่งทำให้ถูกผู้อื่นมองว่า กินปูนร้อนท้อง หากวางเฉยหรือถือขันติได้อย่างเป็นธรรมชาติ

          สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด หากผู้ใดปฏิบัติได้ วิถีชีวิตย่อมผ่านพ้นขวากหนามไปได้อย่างปลอดภัย นอกจากนั้นสิ่งซึ่งตนตั้งใจทำเพื่อหวังเรียนรู้ความจริงและนำไปสู่การสร้างสรรค์ ย่อมบรรลุผลก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามวิถีทางและสภาพที่กล่าวมาแล้ว หากรู้เท่าทันย่อมหยั่งรู้ความจริงได้ว่าหาใช่เป็นความสำเร็จที่สุดไม่ หากเป็นเรื่องของแต่ละช่วงที่ก้าวไปบนเส้นทางการดำเนินชีวิตเท่านั้น

ผู้ที่รู้จริงย่อมไม่หลงยึดติดจนนำมาโอ้อวดว่า ตนได้ทำสิ่งนั้นสิ่งโน้นสำเร็จแล้ว แท้จริงแล้วต่างก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทางผ่านในการเรียนรู้เท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วย่อมส่งผลปิดโอกาสตัวเอง ทำให้เจริญก้าวหน้าสืบต่อไปได้ยาก

        ผลสำเร็จที่แท้จริง ย่อมเกิดจากการเข้าถึงสัจธรรมซึ่งอยู่ภายในรากฐานจิตใจตนเองจนถึงที่สุดแล้ว แต่ตัวเองควรมีรากฐานที่เชื่อมโยงความรู้สึกจากใจเขาสู่ใจเราเป็นพื้นฐานสำคัญด้วย
ดังนั้นการที่เราคิดว่าเป็นผู้สำเร็จแล้ว นอกจากยังไม่สำเร็จกลับสะท้อนให้เห็นว่าเป็นคนมีกิเลสหนามากยิ่งขึ้น เพราะมีนิสัยคุยโอ้อวดตัวเอง แบบยกตนข่มผู้อื่นอย่างชัดเจน ความสำเร็จจึงควรเป็นเรื่องที่ผู้คนซึ่งอยู่บนพื้นฐานความหลากหลายในสังคมเป็นผู้มองเห็นและยอมรับด้วยความรู้สึกศรัทธา ส่วนตนควรมีความสงบเย็นเป็นธรรมชาติ ย่อมที่มีรากฐานจิตใจปลอดแล้วจากเงื่อนไข ร่างกายก็คงไม่สามารถเกิดมาได้อีก
 
 
 
4 ธันวาคม 2548

ไฟล์แนบขนาด
1.doc115.5 KB