ชนเผ่ากะเหรี่ยง-กะเหรี่ยงก่อนรัตนโกสินทร์และการอพยพครั้งใหญ่

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
03/04/2008
ที่มา: 
http://www.karencenter.com/

 กะเหรี่ยงก่อนรัตนโกสินทร์
กะเหรี่ยงปรากฎในดินแดนแถบนี้มานานแล้ว ไม่มีหลักฐานว่ามีมาแต่สมัยใด จากเค้าโครงของตำนานซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของกะเหรี่ยงพอสรุปได้ว่า กะเหรี่ยงปรากฎอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนชาวพม่าและไทย(8) แต่ภายหลังพวกตระกูลมอญ - เขมร โดยกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกของสหภาพพม่ามากกว่าอยู่ในประเทศไทย(9)
นายปีเตอร์ ฮิลตัน ผู้เชี่ยวชาญประจำสถาบันวิจัยชาวเขาระหว่าง พ.ศ. 2509 - 2512 ได้ศึกษาพบว่า กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในประเทศพม่ามาก่อนที่พวกพม่าจะเข้าครอบครองดินแดนแถบนี้(10) นายชาร์ลส คายส์ ได้ค้นคว้าแสดงหลักฐานว่า กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในบริเวณพรมแดนระหว่างไทย - พม่า เมื่อประมาณ 600 - 700 ปีมาแล้ว(11) และทรงกล่าวถึงอาณาจักรเชียงใหม่ถูกยึดครองโดยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อปี พ.ศ.2204 นั้น กะเหรี่ยงและละว้าที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองเชียงใหม่ต้องขึ้นต่อไทยด้วยเช่นกัน
ในหนังสือ "คำให้การชาวกรุงเก่า" กล่าวถึงกะเหรี่ยงและละว้าเมืองศรีสวัสดิ์ (ปัจจุบันคืออำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี) ต้องส่งส่วยแก่กรุงศรีอยุธยาเป็นประจำ และรายงานของนักสำรวจชาวอังกฤษเมื่อต้นปี พ.ศ. 2334 ยืนยันถึงเจ้าเมืองที่เป็นกะเหรี่ยง ชื่อพระศรีสวัสดิ์ ปกครองพวกกะเหรี่ยงและพวกละว้าที่เมืองศรีสวัสดิ์ ได้มีการส่งส่วยเช่นเดิม ตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา พวกกะเหรี่ยงแถบเมืองศรีสวัสดิ์ยอมรับการปกครองของไทย ทั้งส่งส่วย ยอมเป็นไพร่ ซึ่งเป็นสิทธิและหน้าที่ที่พึงกระทำเช่นเดียวกับไพร่ไทย และเข้ารับราชการอยู่ในกองอาทมาต ทำหน้าที่สอดแนมฝ่ายตรงข้ามจากเมืองพม่า  เมื่อเมืองหงสาวดีถูกพม่ายึดครองในตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา กะเหรี่ยงหลายพวกอพยพตามมอญเข้ามาสู่ประเทศไทย(12) นับว่าเป็นการอพยพเข้าสู่ประเทศไทยที่มีหลักฐานเป็นครั้งแรก
ในปี พ.ศ.2318 พระเจ้าอลองพญา (อ่องเจยะ)ของพม่า ทำสงครามกับมอญโดยก่อการกบฎเข้ายึดอำนาจจากมอญ แล้วเรียกเก็บภาษีอย่างหนักจากชนกลุ่มอื่น ถ้าใครขัดขืนก็จะบังคับใช้แรงงานอย่างทารุณ ทำให้ชนกลุ่มอื่นพากันหลบหนี(13)  มอญพ่ายแพ้ถูกกองทัพพม่าไล่ติดตามฆ่าฟันอย่างชนิดจะล้างผลาญชนชาติมอญให้สิ้นสูญไปจากโลก ในเวลานั้นกะเหรี่ยงเป็นมิตรกับมอญได้ให้ที่พักอาศัยหลบภัยแก่มอญ เมื่อพม่ายกกองทัพติดตามมา กะเหรี่ยงเกรงภัยจึงพากันอพยพหลบหนีข้ามภูเขาเข้ามาสู่เขตไทย นับเป็นช่วงที่กะเหรี่ยงอพยพเข้าสู่ประเทศไทยมากที่สุด(14)

 

การอพยพครั้งใหญ่สู่ประเทศไทย
การอพยพเพื่อหนีภัยจากพม่าครั้งนี้เป็นการอพยพครั้งใหญ่ที่สุดและกระเทือนจิตใจชาวกะเหรี่ยงมากที่สุด มีนิทาน ตำนาน และเพลงบอกเล่าถึงการอพยพครั้งนี้มากมาย
เล่ากันว่าวันหนึ่งกะเหรี่ยงไปเที่ยวป่าพบปลากั้งซึ่งถือว่าเป็นบรรพบุรุษทางมารดาของพม่า อยู่ในแอ่งน้ำในลำห้วยก็คิดแกล้ง เอามีดแทงตาปลากั้งบอดทั้งสองข้าง พวกพม่ารู้เข้าก็โกรธมาก จึงไล่ฆ่าฟันพวกกะเหรี่ยงและกะหร่างแตกกระสานซ่านเซ็น หลบหนีเข้ามาอยู่ในเมืองไทย บางส่วนหนีไปอยู่กับพวกมอญเมืองทวายที่บ้านกุสะร่อง(15) ถูกพม่าขับไล่ก็อพยพมาสู่เมืองไทย บ้างเล่าว่าเดิมอยู่ในประเทศพม่าที่เยิงประซิ่ง ต่อมาย้ายไปที่ภูเขากะปูตุ้ง เมืองทวาย เมื่อถูกพม่ารบกวนจึงอพยพเข้ามาในเขตประเทศไทย(16)
การอพยพครั้งนี้มีเพลงผูกเป็นคำกลอนร้องให้เด็กๆ ฟังว่า "เย่อโอค้องทะเว เยอเฌ้ทองคู้หล่งพะดู๊ เยออองเฆ่โอ้ซ่ายค้อง" พอแปลได้ว่า "เรานี้อยู่เมืองทวาย เราข้ามภูเขาใหญ่มาอยู่เมืองไทย" (17) มีเพลงเล่าถึงการอพยพอย่างเศร้าสร้อย ร้องกันอย่างกว้างขวางทั้งกะเหรี่ยงในอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี และอำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรีว่า "กาลาเล้อหยู่พู้ป่งก้อง ทัยฆะโอ๊ไส์ค้องลองนอง เม่ยเกมิ้งนาหมิที่ลอง นองทองถ่ายกล่งค้วยเก่อบ่ง" พอแปลได้ว่า "สมัยก่อนนั้นถูกมอญรุกราน อพยพมาอยู่เมืองไทยพวกหนึ่ง นอนตอนกลางคืนน้ำตาร่วง นึกถึงอดีตที่เจดีย์ขวยเก่อบง"(18)
ตำนานเล่าว่ามีหม่องกาย หม่องโช และพู้เซิงละเป็นหัวหน้าในการอพยพเข้ามาอยู่เมืองไทย ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินไทยได้ทราบว่าพม่าไล่กะเหรี่ยงหนีมา จึงส่งทหารไทยไปรับ ทหารไทยไปรับก็พบกับพวกกะเหรี่ยง หัวหน้าทหารไทยจะขอผู้หญิงกะเหรี่ยงมาเป็นเมียคืนละคน พวกกะเหรี่ยงทราบก็ไม่พอใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรที่จะไม่ต้องให้ผู้หญิงกะเหรี่ยงไปเป็นเมียทหารไทย พู้เซิงละจึงคิดแก้ไข โดยเอา "ลองคุเดิ่ง"(19) (มีลักษณะเป็นวงแหวนทองเหลือง เป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่า) ออกมาแช่น้ำ บันดาลให้เกิดลมฝนพายุใหญ่  เมื่อเกิดการผิดปกติเช่นนี้หัวหน้าทหารไทยจึงถามว่า การที่จะขอผู้หญิงกะเหรี่ยงมานอนด้วยนั้นผิดประเพณีอะไรหรือไม่ พู้เซิงละตอบว่าผิดประเพณีมาก หัวหน้าทหารไทยก็เข้าใจ ผู้หญิงกะเหรี่ยงจึงไม่ต้องมาเป็นเมียหัวหน้าทหารไทย หลังจากนั้นพวกกะเหรี่ยงได้พยายามติดต่อกับพระเจ้าแผ่นดินเพื่อจะขออยู่ในเมืองไทย พระเจ้าแผ่นดินไทยก็ปรึกษากับพวกขุนนาง พวกขุนนางให้ความเห็นว่าไม่ควรรับไว้เพราะเป็นพวกที่มาจากเมืองนอกต่างเผ่าต่างภาษา แต่พระเจ้าแผ่นดินไทยทรงเห็นใจตรัสว่า "ยามเมื่อเขาชะตาตกเราควรช่วยเหลือเขา เมื่อเราชะตาตกเขาคงจะช่วยเหลือเราได้" จึงตกลงรับพวกกะเหรี่ยงให้อยู่ในเมืองไทย โดยให้อยู่ที่ลำห้วยตะเพินคี่ จังหวัดสุพรรณบุรี ลำห้วยคอกควาย จังหวัดอุทัยธานี แม่น้ำแควใหญ่(โลโหว่) อำเภอสังขละบุรี อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และที่อยุธยา(20) บ้างเล่ากันว่าเมื่ออพยพหนีมาอยู่เมืองไทยนั้น พบคนไทยกลุ่มหนึ่งมีอาชีพตัดไม้ไผ่ ไม้ท่อน พูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะกะเหรี่ยงพูดไทยไม่ได้ สื่อสารกันได้ความว่า กะเหรี่ยงอดข้าวกันมาก บางคนตายระหว่างทาง คนไทยจึงต้มข้าวต้มให้กินเพราะย่อยง่าย แล้วพากะเหรี่ยงบางคนไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน (21)
เมื่อได้เข้าเฝ้าแล้ว พระเจ้าแผ่นดินไต่ถามว่าเป็นใครมาจากไหน แต่งตัวแบบนี้ไม่เคยเห็นเลย ตัวแทนกะเหรี่ยงก็บอกว่าพวกเราไม่ใช่ไทย ไม่ใช่พม่า ไม่ใช่ฝรั่ง และไม่ใช่กะเหรี่ยงสะกอด้วย เป็นกะเหรี่ยงโป เมื่อก่อนอยู่ที่เมืองทวายในพม่า แต่ถูกพม่ารังแก เลยต้องหนีมาพึ่งไทย แล้วบอกด้วยว่ากะเหรี่ยงเป็นพี่คนโต ไม่เคยทำนาเคยแต่อยู่ในป่า เพราะฉะนั้นจะอยู่เมืองไทยคงอยู่ไม่ได้ ขอกลับไปอยู่ป่า แล้วตัวแทนกะเหรี่ยงก็ลากลับไปเมืองกาญจนบุรี ชวนพวกกะเหรี่ยงขึ้นตามลำน้ำลำห้วยอยู่ตามที่ต่าง ๆ (22)บางพวกเดิมพวกเขาอยู่บ้านเมกะวะ เขตเมืองม่อละแม่ง ประเทศพม่า ได้เข้ามาอยู่ในเขตไทยที่ห้วยช่องกะเปีย (ซองกาเลีย) อำเภอสังขละบุรี เมื่อ 212 ปีมาแล้ว ต่อมาพวกกะเหรี่ยงบ้านเดียวกันในเขตพม่าอพยพติดตามมาอยู่ร่วมด้วย ภายหลังต่างแยกย้ายออกไปตั้งบ้านเรือนอยู่ต้นลำธารต่าง ๆ
เมื่อมีจำนวนมากเข้าเจ้าเมืองกาญจนบุรีจึงแต่งตัวหัวหน้ากะเหรี่ยงให้เป็นเจ้าเมืองสังขละบุรี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาศรีสุวรรณคีรี (ภวะโพ่) บรรดาบุตรหลานเหลนได้เป็นเจ้าเมืองสืบแทนต่อมาอีก 3 คน จนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านใน ร.ศ.120 พระยาศรีสุวรรณคีรี (ทะเจียงโปรย) ผู้สืบตระกูลคนที่ 4 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอ จนถึง พ.ศ.2467 จึงลาออกจากราชการรับเบี้ยบำนาญ(23)

เชิงอรรถ
8.ราญ ฤนาท, ศึกษาประวัติศาสตร์กะเหรี่ยงในพม่า เอกสารโรเนียว, หน้า 3 และ 7.
9.บุญช่วย ศรีสวัสดิ์, ชาวเขาในประเทศไทย, โอเดียนสโตร์, 2506, หน้า 65.
10.ลิลลี่ สุทธิ, "กะเหรี่ยงในประวัติศาสตร์", ข่าวสารศูนย์วิจัยชาวเขา 3 (ก.ค.-ก.ย.2521) หน้า 33.
11.สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ, ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง, ไม่ปรากฏสถานที่ พิมพ์, 2518, หน้า 33.
12.สมภพ ลาชโรจน์, ประวัติความเป็นมาของกะเหรี่ยง พ.ศ.2393-2475 เอกสารทางวิชาการ, 2526, หน้า 5.
13.กรมประชาสงเคราะห์, ประวัติความเป็นมา การกระจายตัวประชากรและการโยกย้ายของชาวเขาในประเทศไทย เอกสารทางวิชาการ, โรเนียว หน้า 7.
14.บุญช่วย ศรีสวัสดิ์, เรื่องเดียวกัน, หน้า 6-7.
15.สมเกียรติ จำลอง, เรื่องเดียวกัน, หน้า 80.
16.ลุงปุ บ้านน้ำพุ ตำบลเขาโจด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ผู้เล่า.
17.สมเกียรติ จำลอง, เรื่องเดียวกัน, หน้า 80.
18.เจดีย์นี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศูนย์รวมจิตใจของกะเหรี่ยง อยู่ที่เมืองทิอ่อง ในประเทศพม่า
19.คนกะเหรี่ยงเชื่อกันว่าหากนำมาแช่น้ำจะทำให้เกิดฝนดี
20.สมเกียรติ จำลอง, เรื่องเดียวกัน, หน้า 80-81.
21.ลุงปุ บ้านน้ำพุ ตำบลเขาโจด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ผู้เล่า.
22.จากหนังสือกะเหรี่ยงที่บ้านตะเพินคี่ ตำบลองค์พระ อำเภอด่านช้าง จังหวัดเพชรบุรี
23.บุญช่วย ศรีสวัสดิ์, เรื่องเดียวกัน, หน้า109.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก : http://www.karencenter.com/