มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ ๑

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
01/12/2007
ที่มา: 
http://www.olddreamz.com/alldreamz/vessandhara/vessandhara.html

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ ๑
ทสพร
ฉบับวิงวอนหลวง(ล้านนา)
ทสพร ๑๙ คาถา

...ข้าแต่พระมหาราชะเจ้า ผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาสองสวรรค์ พระราชะเจ้าหื้อพรแก่ข้าดั่งอั้น ศรีสวัสดีจุ่งมีแก่พระราชะเจ้าเทอะ คันข้าตายจาก พรากพระเจ้าไปแล้ว ขอหื้อข้าได้ไปเกิดในตระกูลอันล้ำเลิศ คือตระกูลพระยามัทราฐ มีรูปโฉมองอาจสิบหกขวบเข้าวัสสา ขอหื้อได้มาเกิดเป็นอัคคมเหษีล้ำเลิศแห่งพระยาสีวิราฐ ในปราสาทราชมณเฑียร เกิดมาเป็นฅนขอหื้อมีตาและคิ้วอันเขียวก่องงาม ดุจดั่งตาลูกเนื้อ และขอหื้อข้ามีชื่อว่าผุสสดี...

นโม ตสฺสตฺถุ ฯผุสฺสตี วรวณฺณาเภติ อิทํ กปิลวตฺถํ อุปนิสฺสาย นิโครธาราเม วิหรนฺติ โปกฺขรวรสฺสํ อารพฺภ กเถสิ สตฺถาวาโห นายโกฯ ภควา

อันว่าพระพุทธเจ้าแห่งเราตนเป็นนายนำหมู่ นำสัตว์เข้าสู่อมตมหาเนรพาน เมื่อพระยังสถิตสำราญ อาศัยยังเมืองกปิลวัตถุราชธานี เป็นที่โคจรคามจระเดินปิณฑบาต ยังอริยาบททังสี่หื้อเป็นไป ในนิโครธารามแล้ว ก็ปรากฎเซิ่งกิริยาอันตกลงมา แห่งห่าฝนโปกขรวัสหื้อเป็นเหตุแก่ญาณประญา แล้วจิ่งประวัตติเทสนามหาเวสสันดรชาดกอันนี้ อันมีคาถาบาทต้นว่า ผุสฺสตี วรณฺณาเภ อุปตฺติ นิทาน เหตุการณ์อันพระพุทธเจ้าจักได้เทสนา ผู้มีประญาเพิงรู้ดั่งนี้เทอะ

พระพุทธเจ้าแห่งเรา คันว่าดำรัสตรัสประญาสัพพัญญ ูเป็นครูแก่โลกแล้ว พระผ่านแผ้วก็ไปเทสนา ยังธัมมจักกัปปวัตนสูตร ในป่าอิสิปตนะมิคทายวัน อันมีในเมืองพาราณสี ออกวัสสาแล้วก็เข้าไปสู่เมืองราชคหนคร ยั้งอยู่เสี้ยงฤดูหนาว เจ้ากาฬุทายีก็ขออาราธนา พระสัตถามีหมู่ขีณาสวชาติ อรหันตาสิบหมื่นตนแวดล้อมเป็นบริวาร พระก็เข้าไปสู่เมืองกปิละวัตถุ เพื่อสังคหะญาติพี่น้อง ด้วยเจ้ากาฬุทายีเถระ วันนั้นแลฯ

ในกาลนั้น ท้าวพระยาชาวสากยราช ก็พากันลีลาชุ่มนุมกัน ว่าเราจักได้หันเจ้าสิทธาตถ์ อันเป็นลูกหลานญาติอันประเสริฐแห่งเรา แล้วเขาก็พิจารณาหาที่อยู่ อันควรคู่ที่สำราญแห่งพระพุทธเจ้า ก็แขวดกฎหมายว่าสวนอุทยานแห่งพระยาตนพ่อ อันชื่อว่านิโครธสักกะ ควรถูกเนื้อเพิงใจว่าอั้นแล้ว ก็กวาดเผี้ยวประดับประดา มีมือถือคันธมาลาดอกไม้ จักไปต้อนไปรับพระพุทธเจ้า จิ่งใช้เด็กน้อยชาวเมือง ประดับประดาด้วยเครื่องทังมวลหื้อไปก่อนแล้ว ก็ใช้กุมาระกุมารีหนุ่มน้อย ประดับประดาชื่นช้อยดีงาม หื้อไปต้อนไปรับพระพุทธเจ้า ถัดเด็กน้อยลูกชาวเมือง ส่วนตัวท้าวพระยาทังหลายไปเมื่อพายลูน ปูชาด้วยคันธมาลาดอกไม้ แล้วนำพระพุทธเจ้าเข้าสู่นิโครธาราม วันนั้นแล ฯ

พระพุทธเจ้ามีหมู่อรหันตาแวดล้อมเป็นบริวาร ก็นั่งเหนืออาสนา อันท้าวพระยาหากปูไว้ ในนิโครธารามที่นั้นแล ฯ ท้าวพระยาสากยราช มีมานะแข็งด้วยเชื้อชาติ มหาสมันตราชลงมาจากันว่า เจ้าสิทธาตถ์นี้นายังหนุ่มหน้อย ถ้านเป็นหลานน้อยแห่งเรา จิ่งจากับกับบุตรีลูกเจ้า ว่าสูเจ้าจุ่งไหว้พระพุทธเจ้าเทอะนา ส่วนตูข้าจักนั่งอยู่พายหลัง ว่าอั้นแล้วเขาก็บ่ไหว้พระพุทธเจ้า นั่งอยู่วันนั้นแลฯ

พระพุทธเจ้าก็เล็งดูอัชฌาศัย ใจแห่งท้าวพระยาทังหลาย จิ่งร่ำเพิงในใจว่า ญาติพี่น้องบ่ไหว้กู ควรตถาคตหื้อญาติทังหลายไหว้ ควรชะแล ฯ ว่าอั้นแล้ว ตนแก้วก็เข้าสู่จตุตถฌาน อันเป็นเหตุแห่งอภิญญาแล้ว ก็ออกจากฌาน สยองขึ้นสู่พื้นประตูอากาศ เรี่ยรายผายลงยังผงอันติดแปดพระบาททังคู่ ตกลงสู่หัวท้าวพระยาทังหลาย แล้วก็ผายสำแดงอัจฉริยะ อันเป็นลำน้ำลำไฟเป็นคู่กันไป เหมือนปางเมื่อพระกระทำในเมืองสาวัตถี ที่ใกล้ต้นไม้ม่วงชื่อว่าคัณฑามรุกขะ วันนั้นแลฯ

ในกาละนั้น พระยาศรีสุทโธทนะตนพ่อเล็งผ่อ หันอัศจรรย์อันนั้น จิ่งกล่าวว่า ข้าแห่งเจ้ากู ในเมื่อแม่นมอุ้มเจ้ากูไป พ่อจักหื้อไหว้ปาทะเจ้าระสี ชื่อว่ากปิละในวันเจ้ากูเกิด พ่อก็หันพระบาททังคู่ กลับขึ้นขี่อยู่เหนือหัวเจ้าระสี พ่อก็ไหว้พระบาทเจ้ากูทีนึ่งแล้ว กรียาอันพ่อไหว้เจ้าแก้วเป็นทุติยวันทา ในวันปลูกเข้า พ่อก็เอาเจ้าไปนอนอยู่เหนืออาสนา อันมีศรีสวัสดิ์ใต้ร่มไม้ชุมพูเสี้ยงวันฅ่ำ ร่มไม้อันนั้นก็บ่ผัดผันหนีไป พ่อหันอัศจรรย์ใจเหลือขนาด พ่อจิ่งไหว้พระบาทเจ้ากู เป็นตติยวันทาถ้วนสาม

เมื่อพระยาศรีสุทโธทน ไหว้ปาทะแห่งพระพุทธเจ้าตนวิลาส ท้าวพระยาสากยราชทังหลายก็บ่สมัตถาอยู่ได้ จิ่งไหว้พระพุทธเจ้าเสี้ยงชุตน พระทสพลยังญาติพี่น้อง ถ้องแถวเลือดอันเดียว มาชุ่มนุมกันในนิโครธารามบ่น้อย เป็นยอดสุดจอมซ้อยญาติทังมวล ฯ ส่วนว่าบริษัทมวลหมู่ อันมาอยู่ที่นั้น ก็ตั้งอยู่ในอารมณ์อันเดียวกัน เพื่อจักฟังธัมม์ วันนั้นแลฯ

ในกาละนั้น ห่าฝนชลเมฆธารา ไหลหลั่งถั่งตกลงมาซะซู่ เป็นฝนโปกขรพัสอยู่ปูนอัศจรรย์ น้ำฝนนั้นมีวัณณะอันแดงเหมือนดั่งน้ำครั่ง มีเสียงอันร้องคั่งคั่ง แล้วก็ไหลหลั่งลงใต้แผ่นดิน ฅนทังหลายฝูงใดบ่มีใจใคร่ชุ่มใคร่รำดั่งอั้น มาตราว่าต่อมน้ำนึ่งก็บ่ตั้งอยู่ในตน เหมือนดังต่อมน้ำบ่ตั้งอยู่ในเหนือใบบัวนั้นแล เหตุดั่งอั้น ฝนอันนั้นชื่อว่าโปกขรพัส บริษัททังหลายหันอัศจรรย์นั้นเกิด เป็นอันงืดมากนักหนา

ภิกขุทังหลายก็บังเกิดยังคำจา ในธัมมสภาคะศาลาว่าสันนี้ ดูราอาวุโส ห่าฝนโปกขรพัสตกลงมา ในที่ชุมนุมญาติกาแห่งพระพุทธเจ้า ก็ด้วยอานุภาวะบุญแห่งพระพุทธเจ้านั้นแล ควรงืดอัศจรรย์ใจนักแล

ทีนั้นพระพุทธเจ้า ได้ยินคำจาเจ้าภิกขุทังหลาย ด้วยทิพพโสตวิญญาณแห่งตน มักปลงลงยังห่าฝนแก้วคือธัมมเทสนา พระจิ่งลีลาคลาออกจาก พระคันธกุฎีพรากลงมา ด้วยพุทธลีลาองอาจ เหมือนไกรสรราชออกจากคูหา นั่งเหนืออาสนางามองอาจ แล้วจิ่งประกาศถามภิกขุทังหลายว่า ภิกขเว ดูราภิกขุทังหลาย ท่านทังหลายมาชุ่มนุมกัน ด้วยคาถาอันใดไป่ทันแล้วบรมวล พระตถาคตะมาจวน ท่านทังหลายนั้นชา ฯ

เมื่อนั้น เจ้าภิกขุทังหลายจิ่งขานว่า ข้าแด่พระพุทธเจ้า ผู้ข้าทังหลายมาชุ่มนุมกัน ด้วยคำจาเรื่องนี้แล้ว พระตนแก้วสัพพัญญูกล่าวว่า ดูราภิกขุทังหลาย ห่าฝนโปกขรพัสตกลงมา ในที่ชุ่มนุมญาติกาพระตถาคตะ ในชาติเดียวนี้บ่มีเลย แม้ในชาติก่อน ห่าฝนโปกขรพัสก็ตกลงในที่ชุ่มนุมญาติพี่น้องพระตถาคตะ ปางเมื่อเป็นพระยาเวสสันตระวันนั้นแลฯ พระพุทธเจ้ากล่าวเท่านั้นแล้ว ตนแก้วก็หื้อโอกาสอาราธนาขอ ภิกขุทังหลายจิ่งยออัญชุลีไหว้ว่า ภนฺเต ข้าแต่พระพุทธเจ้า ห่าฝนโปกขรพัสตกลงมา ในที่ชุ่มนุมญาติแห่งเจ้ากู บ่ห่อนปรากฏแก่ผู้ข้าทังหลาย ขอเจ้ากูจุ่งผายโปรด เทสนาหื้อแจ้งโสตแก่ผู้ข้าทังหลายแด่เทอะ ฯ

ทีนั้น พระพุทธเจ้าจิ่งนำเอามา ยังมหาเวสสันตระชาดกธัมมเทสนาว่า อตีเต ภิกฺขเว สีวีรฏฺเฐ เชตุตฺตรนคเร สีวิมหาราชา นาม ธมฺเมน รชฺชํ กาเรสิ ดั่งนี้เป็นต้นว่า ฯ

ภิกขเว ดูราภิกขุทังหลาย ในอดีตกาลล่วงข้ามมาเสี้ยงแล้วจีรกาล มีพระยาตนนึ่งชื่อว่า สีวิมหาราชา เสวยราชการบ้านเมืองโดยชอบด้วยราชธัมม์สิบประการ ในเมืองเชตุตรนคร อันมีในโขงเขตเมืองสีวิราช พระยาตนนั้นหากได้ลูกชายฅนนึ่งว่า สญไชยราชกุมาร เมื่อเถิงกาลควรราชาภิเษก ท้าวบรมเอกปิตา ก็นำเอามายังราชธิดา ลูกสาวพระยามัททราฐตนชื่อว่าผุสสดี แล้วก็เวนเคนหื้อราชสมบัติทังมวล แก่สญไชยราชกุมาร ตั้งยังผุสสดีหื้อเป็นอัคคมเหสี แห่งสัญไชยราชวันนั้นแล ฯ

ทีนี้จักจายังบุญสมภาร แห่งนางราชผุสสดี ผู้มีประยาเพิงรู้สันนี้เทอะ ในเมื่อพระพุทธเจ้าตนชื่อว่าวิปัสสี เกิดมาสั่งสอนสัตว์ในโลกได้ ๙๑ กัป นับแต่ภัททกัปอันนี้ฅืนเมือหลัง ยังมีพระยาตนนึ่งชื่อว่าพันธุมตีราช อันเป็นปิตาธิราชแห่งพระเจ้าวิปัสสี เสวยราชการบ้านเมืองชื่อพันธุมตินคร ในเมื่อพระเจ้าวิปัสสี อาศัยพันธุมตินคร เป็นที่โคจระคามสำราญด้วยอิริยาบททังสี่ ในที่ป่าชื่อมิคทายวัน อันเป็นที่หื้ออภัยแก่เนื้อทังหลายดังอั้น ฯ

ยามนั้นมีพระยาตนนึ่ง ก็ใช้มายังดอกไม้ควรค่าได้แสนฅำ กับแก่นจันทน์แดงแก่ลูกสาวพระยาพันธุมติผู้พี่ และหื้อดอกไม้ฅำแก่นางผู้น้อง สองพี่น้องจิ่งจากันว่าสันนี้ เราทังสองบ่ควรบริโภคบรรณาการอันนี้ ควรเอาไปปูชาพระพุทธเจ้า ก็บอกแก่พระยาตนพ่อ พระยาเจ้าก็ว่าดีดี

ราชธิดาตนพี่ก็บดแก่นจันทน์แดงหื้ออ่อนสุขุมาล แล้วเจือจานด้วยสุคัณโธทกะแก้ว ส่วนราชธิดาผู้น้องเหน้า ก็หื้อช่างฅำผู้ฉลาด แต่งแปลงเป็นดอกไม้ฅำ แล้วนางทังสองก็นำไปถวายพระพุทธเจ้า นางผู้พี่ก็ปูชาพระพุทธเจ้าด้วยคันธะจวนจันทน์ เหลือแก่นั้นก็ไล้ลาทาคันธกุฎีรอดชุก้ำ

แล้วจิ่งตั้งคำปรารถนาว่า ด้วยเตชะบุญอันผู้ข้า ได้หื้อคันธะจวนจันทน์เป็นทาน ขอหื้อได้เป็นแม่พระเจ้าในอนาคตกาลพายหน้านี้เทอะ ส่วนราชธิดาผู้น้องปูชาพระเจ้าด้วยดอกไม้ฅำอันเป็นเครื่องประดับอก แล้วก็ยกคำปณิธานปรารถนาว่า ด้วยเตชะกุศลอันข้าได้หื้อดอกไม้ฅำนี้เป็นทาน ข้าเกิดมาในภวชาติกำเนิดอันใด ตราบเท่าเท้าเถิงอรหันตา เกิดมาเป็นฅน ขอเครื่องประดับอันเป็นลายลักษณ์จักงามอันนี้ อย่าได้พลัดพลากจากตัวข้า สักชาติจุ่งมีเทอะ ทีนั้นพระวิปัสสีเจ้าจิ่งอนุโมทนาว่า มโนปณิธานปรารถนามักในใจ มีด้วยประการสันใด ก็ขอให้สมฤทธิเทอะ ว่าอั้นวันนั้นแลฯ

นางทังสองได้กระทำบุญหื้อทานบ่ได้ขาด คันจุติคลาคลาด ก็ได้ไปเกิดในปราสาทวิมานฅำ อันมีในสวรรค์เทวโลก นางผู้พี่ได้ท่วนเทียวไปมาในวัฏฏสังสารหลายกำเนิด แล้วก็ได้บังเกิดเป็นนางศรีมหามายา แม่แห่งพระตถาคตาในกาลบัดนี้แล พั่นนางธิดาผู้น้องได้ท่วนเทียวไปมาในวัฏฏสงสารหลายกำเนิด เมื่อพระพุทธเจ้ากัสสปะเกิดมา ก็ได้นำเอากำเนิดเป็นธิดาแห่งพระยากิงกิสราช มีองคะงามวิลาศ ประกอบด้วยลายลักษณ์จักอันงาม เหมือนประดับด้วยฅำ เหตุดั่งอั้นฯ ญาติพี่น้องจิ่งเบิกบายรวายศรีใส่ชื่อว่า นางอุรัจฉทาราชกุมารี เมื่อนางขึ้นใหญ่ได้ ๑๖ ขวบเข้าวัสสา ได้ฟังภัตตานุโมทนา เซิ่งธัมมเสนาปติแห่งพระเจ้ากัสสปะ ก็ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ส่วนพ่อพระยาก็ได้เถิงโสดาปัตติผล ในเมื่อนางราชธิดาได้เถิงอรหันตาแล้ว นางแก้วก็ออกบวชลวดนิพพานไปวันนั้นแลฯ

พระยากิงกิสราชก็ได้ลูกสาวเจ็ดฅนฝูงอื่น ผู้นึ่งชื่อว่านางสมณี ผู้นึ่งชื่อว่านางสมณโคตตา ผู้นึ่งชื่อนางภิกขุณี เกิดมามีรูปโฉมอันงาม มีต้นดั่งไล้ทาจวนจันทน์ดอกไม้ ด้วยอานิสงส์อันนางได้หื้อคันธะจวนจันทร์ปูชา พระวิปัสสีพุทธเจ้าวันนั้นแล จึงได้ชื่อว่าผุสสดี นางท่วนเทียวไปมาในวัฏฏสงสารไจ้ ๆ ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์เทวโลก เป็นอัคคมเหษีแห่งพระยาอินทเจ้าฟ้าก็มีแล

ในเมื่อปุพพนิมิตห้าประการ มีประธานผ้าเสื้อหม่นหมองเกิดมาก่อน เหตุอันจักผ่อนเสียอายุแห่งนาง เมื่อนั้นพระยาอินท์ตนมีอำนาจ รู้แจ้งเหตุราชเทวี จิ่งเอานางผุสสดีไปสู่สวนอุทยาน กับด้วยบริวารอันมาก ยังนางแก้วราชผุสสดี หื้อนอนเหนือที่อันมีศรีสวัสดีบ่ไร้ ตนอินท์ก็นั่งอยู่ใกล้แห่งนาง ท้าวจิ่งกล่าวว่าดูราผุสสดี พี่จักหื้อพรดีสิบประการ จุ่งเอาพรฝูงนั้นจากสำนักกูพี่เทอะ ว่าอั้นแล้วตนแก้วก็หื้อพรสิบประการ จิ่งกล่าวเป็นคาถา อันมีมาในเวสสันตรชาตกะ มีต้นว่า ผุสฺสตี วรวณฺณาเภ วรสฺสุทสธา วเร ปฐพฺยา จารุปุพฺพํคิยํ ตุยฺหํ มนโส ปิย ํ ดั่งนี้

ดูราผุสสดี ผู้มีเนื้อตนอันประเสริฐ ประกอบด้วยองคะล้ำเลิศเพิงใจน้องหล้า ใต้ลุ่มฟ้าเหนือหน้าแผ่นดิน เจ้าจุ่งถือพรสิบประการนี้เทอะ คาถานี้ พระยาอินท์จากับด้วยนางผุสสดีในเมืองฟ้า เหตุดั่งอั้น มหาเวสสันตรธัมมเทสนาอันนี้ ชื่อว่าตั้งอยู่ในเทวโลก

นางผุสสดีรู้สภาวะอันตนจักตาย จิ่งกล่าวคาถาที่สองว่า เทวราชนโม ตฺยตฺถุ กึ ปาปปกตํ มยา ดั่งนี้เป็นต้น ว่าข้าแต่มหาราชเจ้า กรียาอันไหว้แห่งข้า จุ่งมีแก่มหาราชเทอะ บาปกัมม์อันใด อันข้าได้กระทำไป บ่ชอบหรทัยแห่งเจ้า จิ่งกำจัดหื้อข้าเจียรจากพรากเทวโลก เหมือนดั่งลมอันเพิกพัดต้นไม้ อันได้เกิดเหนือหน้าพสุธา หื้อท่าวไปนั้นชา พระยาอินท์รู้สภาวะอันนางบ่ประมาท บ่รู้คลาคลาดจากเมืองสวรรค์ จักเตือนสตินางดั่ง ก็กล่าวคาถาสองอันว่า น เจว เต กตํ ปาป น เม ตฺวมสิ อปฺปิยา ดั่งนี้เป็นเค้า

ภทฺเท ดูราราชผุสสดี กัมม์อันใดบ่ชอบหรทัยกูพี่ ก็บ่มีสักอัน กรียาอันราจักได้พลัดพรากจากกันนี้ ก็จักมีแท้แล นางจุ่งเอาพรบวรสิบประการแต่สำนักแห่งกูพี่ อันบอกแจ้งถี่แก่เจ้าชุอันนี้เทอะ นางราชผุสสดีได้ยินคำอินทาธิราช ก็รู้ภาวะอันตนจักตายเที่ยงแท้บ่สงสัย นางก็เล็งแลไปเหนือหน้า ใต้ลุ่มฟ้าชุมพูทีปเมืองฅน ก็หันเวไชยนต์ประสาท มณเฑียรพระยาสีวิราฐ ดูองอาจควรแก่ตน จักปรารถนาเป็นอัคคมเหษีแห่งพระยาสีวิราฐ จิ่งอนุวาทคาถาว่า วรญฺเจ เม อโท สกฺก สพฺพภูตานมิสฺสร ดั่งนี้เป็นต้น

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาสองสวรรค์ พระราชเจ้าหื้อพรแก่ข้าดั่งอั้น ศรีสวัสดีจุ่งมีแก่พระราชเจ้าเทอะ คันข้าตายจากพรากพระเจ้าไปแล้ว ขอหื้อข้าได้ไปเกิดในตระกูลอันล้ำเลิศ คือตระกูลพระยามัทราฐ มีรูปโฉมองอาจสิบหกขวบเข้าวัสสา ขอหื้อได้มาเกิดเป็นอัคคมเหษีล้ำเลิศแห่งพระยาสีวิราฐ ในปราสาทราชมณเฑียร เกิดมาเป็นฅนขอหื้อมีตาและคิ้วอันเขียวก่องงาม ดุจดั่งตาลูกเนื้อ และขอหื้อข้ามีชื่อว่าผุสสดี อันนึ่งขอหื้อมีลูกชายตนประเสริฐ อันควรเลิศในทางทาน เป็นที่เข้าไปสู่หาแห่งวณิพกฅนขอ เป็นที่ชุ่มนุมปูชาท้าวพระยา และลือชาปรากฎทรงยศมากนัก นั่งเหนือหน้าแผ่นดิน ประการนึ่ง เมื่อข้าทรงคัพภะลูกข้า ท่ามกลางท้องแห่งข้า อย่าหื้อสวดพ้นประมาณ เหมือนดั่งขาธนู อันช่างผู้ฉลาดหากเหลาหื้อกลมเกลี้ยงงาม อันนึ่งถานานมแห่งข้า อย่าหื้อยานลงพ้นแพ่ง อันนึ่งขอหื้อผมแห่งข้ามันบัวริสุทธิ์เป็นมันงาม ดุจดั่งสีปีกแทลงทับฅำ อันนึ่งขอหื้อข้ามีสีเนื้อเกลี้ยงอ่อนสุขุมาล เป็นประดุจดั่งสีฅำงามผ่องแผ้ว บ่มีเศร้าหม่นหมอง อันนึ่งฅนมีโทษทุจริตกัมม์ อันทังราชทัณฑ์เข่นข้า ขอหื้อเขาได้ปล่อยพ้นจากอันตราย อันพรบวรทังหลายสิบประการฝูงนี้ จุ่งมีแด่ข้าเทอะ

พระยาอินท์เจ้าฟ้า จิ่งกล่าวว่า เย เต ทส วรา ทินนา มยา สพฺพงฺค โสภณา ดั่งนี้เป็นต้น ว่าดูราราชผุสสดี ตนทรงลักษณะงามล้วน งามถูกถ้วนชุประการ พรบวรสิบประการฝูงนั้น อันนางปรารถนาเอาดั่งอั้น กูพี่จักหื้อพรฝูงนั้นแก่มึงนาง นางจักได้พรสิบประการในมนุสสโลกเมืองฅนชะแล ว่าอั้นวันนั้นแลฯ

ตมฺตถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห วตฺวาน มฆวา เทวราชาสุชมฺปติ ผุสสติยา วรํ ทตฺวา อนุโมทิตฺถ วาสโวติ ดั่งนี้ ภิกขเว ดูราภิกขุทังหลาย อันว่าพระยาอินท์สุรินทะเจ้าฟ้า ได้ชื่อว่ามัฆวาด้วยบุพพโวหาร ตนเป็นผัวนางสุชาดางามสะอาด ได้หื้ออาวาสเป็นทาน คันว่าหื้อพรสิบประการ แก่นางผุสสดีเลิศแล้ว ตนแก้วก็ชื่นชมยินดี ก็อยู่ในเวไชยนต์ปราสาท อันงามวิลาศแห่งตน ก็มีวันนั้นแล ฯ
ทสวรคาถา นิฏฺฐิตา กรียาอันกล่าวในทสพร อันประดับด้วยคาถาว่าได้ ๑๙ คาถา ก็สำเร็จเสร็จบรมวล กาลควรแล้ว เท่านี้ก่อนแลฯ