ค้นหา
เมนู
- หน้าหลัก
- หมวดหมู่
- ภัยพิบัติ (65)
- ธรรมชาติ (286)
- วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (172)
- สังคม (2814)
- วัฒนธรรม (3270)
- ความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรม (19)
- ชาติพันธุ์ (531)
- ประเพณี (780)
- ภูมิปัญญาไทย (1652)
- เครือข่ายทางวัฒนธรรม (204)
- วัฒนธรรมหลวง (17)
- เนื้อหาวัฒนธรรมรอจัดหมวด (0)
- ศิลปะและการบันเทิง (699)
- ศาสนาและจิตวิญญาณ (7090)
- เนื้อหารอจัดหมวด (26)
- ค้นหาชั้นสูง
- บริจาคเนื้อหา
- เกี่ยวกับโครงการ
ล็อกอิน
ดนตรีล้านนา - ซึง
ดนตรีล้านนา : ซึง
ซึง บางท้องถิ่นเรียกว่าติ่ง มีลักษณะคล้ายกระจับปี่หรือคล้ายพิณหรือซุงของภาคอีสาน หรือคล้ายกีตาร์ขนาดเล็ก ซึงประกอบด้วยกล่องเสียง มีคอยื่นออกไปและขึงสายซึ่งเป็นต้นกำเนิดเสียงจากปลายคอผ่านกลางกล่องเสียง ไปยังขอบของกล่องเสียงอีกด้านเดียวกัน หรือคนละชิ้นทำแยกส่วนก็ได้ตัวซึงมักจะใช้ไม้เนื้ออ่อน หรือไม้สักทำทั้งแผ่นเพราะขุดเนื้อไม้ทำเป็นกล่องเสียงได้ง่าย ความหนาของกล่องเสียง ขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ที่จะใช้ทำ และขนาดของซึงที่ต้องการเท่าที่พบโดยทั่วไปหนาประมาณ ๒ – ๓ นิ้ว คว้านข้างในให้กลวงเป็นรูปวงรี เหลือขอบโดยรอบกับพื้นกล่องเสียงซึ่งไม่หนามากนัก
จากนั้นก็ใช้แผ่นไม้บาง ๆ ปิดด้านบน เจาะรูบริเวณใกล้ศูนย์กลางค่อนไปทางคอเล็กน้อย ให้มีขนาดกว้างพอสมควรเพื่อให้เสียงผ่านออกมา ส่วนคอจะมีลักษณะเป็นคันยาวยื่นออกมา ถ้าไม่ได้ใช้ไม้ชิ้นเดียวกันกับที่ทำตัวกล่องเสียงแล้ว ส่วนนี้นิยมทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เพื่อให้ทนทานและเสียงที่ดังออกมาไพเราะบนคอซึงติดขีดซึ่งเป็นท่อนไม้เล็ก ๆ เรียกว่า “ ลูกซึง ” หรือ “ นม ” เป็นระยะ ๆ เรียงตาม
ความยาวของคอจนใกล้ถึงตัวกล่องเสียง จำนวนลูกซึงไม่แน่นอนแต่มาตราฐานทั่วไปนิยมตัด ๙ อัน มีความถี่ห่างไม่เท่ากัน ( คือเว้นระยะตามขอบเขตเสียงที่เกิดขึ้น ) ปลายคอซึงมีลูกบิดเกือบล่างสุดของตัวกล่องเสียงมี ค็อบ ( อ่าน ” ก๊อบ ”) คือ เบาะไม้รองสายที่ขึงจากส่วนล่างสุดขึ้นไปหาลูกบิด สายซึงโดยมากทำด้วยสายห้ามล้อจักรยาน มี ๔ สายซึ่งแยกกันเป็น ๒ คู่ การดีดวซึงมักใช้เขาสัตว์หรือพลาสติกตัดเป็นชิ้นยาวและบางเป็นเครื่องดีด บริเวณที่ดีดอยู่ใกล้กับรูที่เจาะไว้ มืออีกข้างหนึ่งจับคอซึง และใช้นิ้วกดสายลงให้แนบกับลูกซึงที่ต้องการ ซึงมี ๓ ขนาด คือซึงเล็ก ซึงกลางและซึงใหญ่ โอกาสเล่นซึงคือใช้บรรเลงร่วมกับวงสะล้อ ใช้บรรเลงร่วมกับวงปี่ชุมในการขับซอ หรือบรรเลงเดี่ยว เพลงที่เล่นเป็นเพลงพื้นเมืองดั้งเดิมหรือถูกประยุกต์ให้เล่นเพลงลูกทุ่ง นอกจากนี้ยังมีการนำไปใช้บรรเลงประกอบการแสดงละครพื้นเมืองอีกด้วย
ซึ่งนับเป็นเครื่องดนตรีที่นักดนตรีเกือบทุกคนสามารถทำขึ้นไว้เล่นเองได้ และเป็นเครื่องดนตรีที่มีขายอย่างแพร่หลาย แหล่งที่ทำซึงขายนั้นนอกจากจะเป็นกลุ่มนักดนตรี ที่เล่นเป็นอาชีพจะรับทำเมื่อคนมาสั่งแล้ว ยังมีวางขายที่ตลาดกลางคืน ถนนช้างคลาน และที่บ่อสร้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
ประเภทของซึง
ซึง โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น ๒ แบบคือ แบ่งตามขนาดและแบ่งตามการตั้งเสียง
๑ . แบ่งตามขนาด นิยมแบ่งเป็น ๓ ขนาด คือ
- ซึงใหญ่ ความกว้างของกล่องเสียงประมาณ ๑๒ นิ้ว หนาประมาณ ๓ นิ้ว ยาวประมาณ ๑๘ นิ้ว
- ซึงกลาง ความกว้างของกล่องเสียงประมาณ ๑๐ นิ้ว หนาประมาณ ๒ . ๕ นิ้ว ยาวประมาณ ๑๕ นิ้ว
- ซึงเล็กความกว้างของกล่องเสียงประมาณ ๘ นิ้ว หนาประมาณ ๒ นิ้ว ยาวประมาณ ๑๒ นิ้ว
๒ . แบ่งตามการตั้งเสียง แบ่งเป็น ๒ ลักษณะคือ
- ซึงลูกสาม ตั้งเสียง โด - ซอล โดยตั้งสายทุ้มเป็นเสียงโด ตั้งสายเอกเป็นเสียงซอล ซึงลูกสามมักจะเป็นซึงใหญ่และซึงเล็ก
- ซึงลูกสี่ ตั้งเสียง ซอล - โด โดยตั้งสายทุ้มเป็นเสียงซอล ตั้งสายเอกเป็นเสียงโด ซึงลูกสี่มักจะเป็นซึงกลาง
สูตรการทำซึง
การทำซึง เมื่อ ได้ไม้ที่มีความหนาเหมาะสมกับตัวซึงที่ต้องการแล้ว จะวัดขนาดความกว้างของกล่องเสียงให้มีความสัมพันธ์กับความยาวของคันซึง ( วัดถึงคอซึง ) ตามสูตร เพื่อให้ได้เสียงตามที่ต้องการสูตรดังกล่าวมี ๓ สูตร คือ
๑ . สูตรโล่งเกิ่ง คือวัดเอาเส้นผ่าศูนย์กลางของกล่องเสียงเพิ่มอีก ๑ ๑ / ๒ ส่วน ไปเป็นความยาวของคันซึง ( วัดจากขอบกล่องเสียงถึงคอซึง ) สูตรนี้เสียงซึงจะดังกังวาน เมื่อเล่นในวงเสียงจะชัดเจนสูตรนี้นิยมทำซึงกลาง
๒ . สูตรสองโล่ง คือวัดเอาเส้นผ่าศูนย์กลางของกล่องเสียงเพิ่มอีก ๒ ส่วน ไปเป็นความยาวของคันซึง สูตรนี้เสียงซึงจะไพเราะมาก แต่ความดังจะอ่อนกว่าสูตรโล่งเกิ่ง สูตรสองโล่งจึงเหมาะสำหรับซึงใช้บรรเลงเดี่ยวเท่านั้น
๓ . สูตรโล่งเกิ่ง คือวัดเอาเส้นผ่าศูนย์กลางของกล่องเสียงเพิ่มอีก๑ ๑ / ๒ ส่วน แล้ววัดต่อจากนั้นยาวอีกประมาณ ๒ ฝ่ามือไปเป็นความยาวของคันซึง สูตรนี้เสียงซึงจะดังพอดี และมีเสียงใสไพเราะพร้อมกันไปด้วย จึงเหมาะสำหรับบรรเลงผสมวงและบรรเลงเดี่ยว
อย่างไรก็ตาม เสียงของซึงจะดังไพเราะ หรือไม่นั้นยังขึ้นอยู่ปัจจัยหลายอย่าง เช่น เนื้อไม้ ขนาด การตั้งเสียง ความได้สัดส่วนของตัวซึง ( ซึ่งบางครั้งไม่ได้ตายตัวตามสูตร ) เป็นต้น