นาฏดุริยการล้านนา - กลองหลวง (6) การแข่งขันตีกลองหลวง
นาฏดุริยการล้านนา วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2548 - กลองหลวง (6) การแข่งขันตีกลองหลวง
การแข่งขันตีกลองหลวง
จากการสอบถามผู้รู้ถึงความเป็นมาของการแข่งขันตีกลองหลวง ท่านพระครูสังวรญาณประยุต เจ้าอาวาสวัดบ้านโฮ่ง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ได้เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมนั้นพระภิกษุสงฆ์จะเป็นผู้นำกลุ่มชาวบ้าน บรรทุกกลองที่มีอยู่ในวัดด้วยเกวียน ลากไปแข่งขันประชันกับต่างหมู่บ้านในยามค่ำคืน ถือเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นการละเล่นประเภทหนึ่ง โดยมากจะเป็นช่วงที่ชาวบ้านว่างจากการทำไร่ไถนา คือประมาณเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม ชาวบ้านที่เป็นพวกหนุ่ม ๆ ส่วนมากก็ถือโอกาสไปเกี้ยวพาราสีหญิงสาวในหมู่บ้านอื่นไปด้วย ไม่ได้มีการแข่งขันกันอย่างจริงจังเท่าใดนัก หรืออาจถือโอกาสนัดท้าประลองกับหมู่บ้านอื่น ๆ ให้นำกลองมาร่วมประลองด้วย ฝ่ายผู้ชนะก็จะฉลองชัยกันอย่างครื้นเครง
กติกาการแข่งขันตีกลองหลวงแต่เดิมไม่มีกฎเกณฑ์มากมาย เพียงแต่ตีกลองให้มีเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้กลบเสียงตีของคู่ต่อสู้จึงถือเป็นผู้ชนะ การแข่งขันตีกลองหลวงนัดสำคัญประจำปีที่นักเลงกลองต่างเฝ้ารอคอย คือ การแข่งขันกลองหลวงในงานสรงน้ำพระธาตุหริภุญชัย ทุกปีจะมีกลองหลวงจากเกือบทุกหมู่บ้านในจังหวัดลำพูน ส่งมาร่วมแข่งขัน จัดเป็นมหกรรมกลองหลวงที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากกลองหลวงเดิมทีจัดทำขึ้นสำหรับตีประกอบการฟ้อน โดยเฉพาะการฟ้อนบูชาถวายพระธาตุ เมื่อเสร็จภารกิจในการฟ้อน กลองที่มาจากแต่ละหมู่บ้านจะนำไปเรียงไว้นอกวัด และมีการนำมาตีแข่งกันว่ากลองของใครจะดังกว่ากัน จึงเกิดเป็นความนิยม มีการแข่งขันตีกลองเป็นประจำทุกปีในงานสรงน้ำพระธาตุหริภุญชัย ซึ่งต่อมานำมาแข่งขันกันในงานปอยหลวงอีกด้วย
การแข่งขันตีกลองหลวงได้กระทำมาเมื่อประมาณ 80 - 90 ปีมานี้เอง แต่ได้หยุดชะงักไปเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาพระครูเวฬุวันพิทักษ์ แห่งวัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ได้รื้อฟื้นการแข่งขันกลองหลวงขึ้นมาใหม่ โดยชักชวนให้นำกลองหลวงที่มีอยู่แต่ละวัดมาตีแข่งขันกันเมื่อประมาณ พ.ศ. 2495 ในงานประจำปีวัดพระพุทธบาทตากผ้า ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตอำเภอป่าซาง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน และอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ รูปแบบของกลองต่างก็ได้รับการออกแบบเพื่อให้มีเสียงดังที่สุด ดังกว่าของผู้อื่น เช่น อาจทำให้มีความยาวเพิ่มขึ้น แต่พระครูเวฬุวันพิทักษ์ได้ค้นหาและทำรูปแบบกลองที่มีเสียงดังมาก โดยรูปแบบกลองจะมีหน้ากลองกว้างขึ้น และมีความยาวของกลองสั้นลง และคิดประดิษฐ์รูกลองที่เสียงจะผ่านก้นกลองให้มีขนาดเล็กเท่าไข่เป็ดเท่า นั้น ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิรูปกลองหลวงให้เป็นรูปแบบใหม่ ปัจจุบันกลองชนิดนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วเขตภาคเหนือตอนบน เช่น แพร่ น่าน เชียงราย และเชียงใหม่ เป็นต้น
กติกาการแข่งขันตีกลองหลวง
กติกาการแข่งขันตีกลองหลวงได้มีการปรับใหม่เพื่อให้เกิดความยุติธรรม และมีความรัดกุมมากยิ่งขึ้นโดยมีพระครูเวฬุวันพิทักษ์ เป็นประธานการประชุมเพื่อหาข้อตกลงในกติกาการแข่งขัน ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบัน ดังนี้
1. กรรมการสั่งให้นำกลองแต่ละใบมารายงานตัว และจับสลากแบ่งสายโดยจะจัดคู่ประกบแข่งครั้งละ 3 - 4 ลูก
2. การตั้งกลอง ให้กลองที่เข้าแข่งขันหันก้นกลองมาทางคณะกรรมการ ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 15 เมตร
3. กรรมการ จะให้ผู้เข้าแข่งขันทดลองตีกลอง เพื่อฟังเสียงทีละใบ จากนั้นให้ตีทุกใบพร้อมกัน เพื่อจะหาว่ากลองใบใดเสียงดังที่สุด ในตอนนี้อาจมีการสับเปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งกลอง เพราะบางตำแหน่ง กรรมการบางท่านอาจได้ยินเสียงกลองแต่ละใบแตกต่างกัน และตำแหน่งที่โล่งมาก จะทำให้เสียงดังกว่าปกติได้ หรือการมีคนมุงดูอยู่มาก อาจทำให้เสียงกลองทึบ
4. กรรมการจะคัดเลือกกลองที่เสียงดังที่สุดในแต่ละสายเข้ารอบมาเพียง 1 ใบ แล้วประชันกันอีก เช่น มีกลองเข้าแข่งขัน 30 ใบ แบ่งสายแข่งขันสายละ 3 ใบ ก็จะได้กลองเข้ารอบ 10 ใบ จากกลอง 10 ใบ ก็จะนำมาแข่งกันทีละ 3 ใบ โดยวิธีจับสลาก ให้ได้สัดส่วนจำนวน 3-3-4
5. หลังจากนั้นจะได้กลองที่เข้ารอบสุดท้ายจำนวน 3 ใบ และท้ายสุดกลองที่เสียงดังที่สุดจะถูกตัดสินให้ได้รับรางวัลชนะเลิศ
คณะกรรมการตัดสินจะประกอบด้วยกรรมการผู้ให้คะแนน 3 - 5 คน มีผู้ประกาศและให้สัญญาณ 1 คน และกรรมการจับเวลาอีก 1 คน รวมทั้งหมดประมาณ 7 คน (ปัจจุบันกติกาดังกล่าว อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามความเหมาะสม)
การแข่งขันกลองหลวงนี้ มีทั้งความสนุกสนานและความตื่นเต้น ถือว่ากลองแต่ละใบนั้นเป็นตัวแทนของชาวบ้านแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งทุกคนมีส่วนร่วมแรงร่วมใจจัดทำหรือมีส่วนร่วมอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าหากชนะย่อมหมายถึงชื่อเสียงของหมู่บ้านด้วย ดังนั้นจึงมักจะเห็นภาพของชาวบ้านที่ช่วยกันแห่ลากกลองหลวงไปแข่งขันในที่ ต่างๆ และมีคนในหมู่บ้านเดียวกันไปให้กำลังใจมากมาย เพื่อประกาศศักดิ์ศรีของหมู่บ้าน
ชาวบ้านที่เป็นศรัทธาของแต่ละวัดนิยมช่วยกันฝึกซ้อมสำหรับการแข่งขัน เพียงเพื่อชัยชนะและนำชื่อเสียงกลับวัด โดยไม่ให้ความสำคัญต่อจำนวนเงินรางวัลเท่าใดนัก วัดใดได้รับถ้วยรางวัลมากก็จะมีชื่อเสียง หากวัดใดแพ้ก็จะนำกลองไปแก้ไขกันอย่างจริงจังเพื่อการแข่งขันในคราวต่อไป บางวัดถึงกับสั่งทำขึ้นมาใหม่เพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ
สนั่น ธรรมธิ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(ภาพประกอบโดยพิชัย แสงบุญและเสาวณีย์ คำวงค์)
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต้นฉบับ : http://art-culture.chiangmai.ac.th/academic/natha/2548/07/05/