วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
29/10/2008
ที่มา: 
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ http://art-culture.chiangmai.ac.th/

บทความ นาฏดุริยการล้านนา วันอังคารที่  17  มกราคม  2549 - ฟ้อนสาวไหม (5)

 

    ฟ้อนสาวไหม (5)

    เรื่องราวของฟ้อนสาวไหมได้นำเสนอมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นถึงที่มาว่ามาจากการฟ้อนเจิง และเพื่อให้เห็นชัดยิ่งขึ้นจะกล่าวถึงพัฒนาการซึ่งเป็นจุดต่อที่สำคัญ โดยจะย้อนไปที่พ่อครูกุย  สุภาวสิทธิ์ย้ายที่อยู่จากเชียงใหม่ไปอยู่บ้านศรีทรายมูล จังหวัดเชียงราย และได้ตั้งรกรากอยู่ที่เชียงรายตลอดชีวิต (ภาพซ้าย การเตรียมขบวนแห่กฐิน ของคณะศรัทธา เพื่อจะนำไปทอดถวาย ณ วัดเจ็ดยอด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ในพ.ศ.2499 ช่างฟ้อนตัวเล็กๆ ที่นั่งอยู่ซ้ายสุดคือ เด็กหญิงบัวเรียว สุภาวสิทธิ์ ขณะนั้นอายุได้ 10 ขวบ )

    พ่อครูกุย  สุภาวสิทธิ์ เป็นครูสอนฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง นอกจากจะสอนให้ศิษย์แล้ว ก็ได้สอนให้กับบุตรสาวคนสุดท้อง คือนางบัวเรียว  รัตนมณีภรณ์ ซึ่งเริ่มฝึกฟ้อนเมื่ออายุ  7  ขวบ เพลงที่ใช้ประกอบนั้นไม่แน่นอน เพราะฟ้อนกับวงดนตรีพื้นเมืองได้เกือบทุกเพลง โดยส่วนใหญ่ฟ้อนกับกลองสิ้งหม้อง ซึ่งเป็นกลองที่มีจังหวะง่าย ๆ ธรรมดา และมีอยู่ทั่วไป

    ต่อมามีนักดนตรี และนาฏศิลป์ไทยชั้นครู อพยพจากเชียงใหม่ ไปอาศัยอยู่วัดศรีทรายมูล ชื่อนายโม  ใจสม นายโมเดิมเป็นชาวมอญ จากอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อมาอยู่ที่วัดศรีทรายมูล ก็ได้ช่วยฟื้นฟูดนตรีพื้นเมืองของวัด คือ “วงเต่งถิ้ง” ขึ้นใหม่โดยสอนคณะศรัทธาของวัด จนมีนักดนตรีฝีมือดีหลายคนขณะเดียวกัน ก็ได้สอนนาฏศิลป์ไทยด้วย

    นางบัวเรียวได้มีโอกาสฝึกนาฏศิลป์กับนายโมด้วย เวลามีงานวัดที่ไหน ๆ เจ้าอาวาสและคณะศรัทธาวัดมักจะนำวงดนตรีพื้นเมือง และช่างฟ้อนไปช่วย นางบัวเรียวก็ได้ไปร่วมฟ้อนด้วยเช่นกัน และฟ้อนสาวไหมเป็นฟ้อนที่ถนัดอยู่แล้ว อีกทั้งเป็นการฟ้อนที่ได้รับความนิยมมาก จึงมักจะได้ฟ้อนสาวไหมเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นฟ้อนสาวไหมจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปใน  2  ลักษณะ  คือ “ลีลา” และ “เพลงประกอบ”

    โดยปกตินางบัวเรียวมีความสามารถในการปรับตัว โดยเฉพาะทางนาฏศิลป์และดนตรี ช่วงนี้จึงได้ดัดแปลงท่าฟ้อนให้ลีลา ในการฟ้อนเหมาะสมกับบุคลิกของสุภาพสตรีคือ อ่อนช้อย งดงามและลงจังหวะดนตรีแบบนาฏศิลป์ไทย และในขณะเดียวกันดนตรีประกอบ ซึ่งแต่เดิมใช้ดนตรีพื้นเมืองประเภทไหนก็ได้ ก็เริ่มใช้วงเต่งถิ้งบรรเลงเพลงพื้นเมือง เช่นปราสาทไหว ฤาษีหลงถ้ำ ต่อมาเห็นว่าเพลงเหล่านั้นจังหวะช้าไม่กระชับ จึงใช้เพลงที่เรียกว่า “เพลงสาวไหม” ซึ่งเพลงนี้ผู้รู้บางท่านว่าคือ “เพลงลาวสมเด็จ” แต่บางท่านก็ว่าเป็นเพลงแต่งใหม่โดยนายโม เพื่อประกอบการฟ้อนสาวไหม โดยดัดแปลงจากเพลงลาวสมเด็จอีกทีหนึ่ง

    การที่วัดศรีทรายมูลนำวงดนตรี และช่างฟ้อนไปช่วยงานวัดต่าง ๆ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ตามโอกาสและเทศกาลงานบุญของวัดนั้น ๆ ครั้งหนึ่งราวปี พ.ศ. 2503  วัดศรีทรายมูลได้ไปช่วยงานวัดถ้ำปุ่มถ้ำปลา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายอินหล่อ  สรรพศรี นักดนตรีไทยชั้นครูของเชียงราย ได้ชมการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวจึงเกิดความประทับใจ แล้วเก็บไว้ในใจเนื่องจากไม่มีโอกาสทำความรู้จัก

    ต่อมาปี พ.ศ.  2507  นายอินหล่อ ได้มีโอกาสชมอีกครั้งหนึ่งที่วัดพระแก้ว  อำเภอเมือง  จังหวัดเชียงราย เห็นว่ามีลีลาอ่อนช้อยนิ่มนวลละมุนละไม จึงได้ทำความรู้จักกับนางบัวเรียว และเชิญให้ไปพบภรรยาของนายอินหล่อ คือนางพลอยสี  สรรพศรี ซึ่งเป็นช่างฟ้อนและผู้เล่นละครเก่าจากคุ้มเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่กับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี

    จากการได้พบกับนางพลอยสี นาฎการชั้นครูของเชียงราย การฟ้อนสาวไหมก็ได้รับการบูรณะท่าทางในการฟ้อนอีกครั้งหนึ่ง โดยนางพลอยศรีขอให้ฟ้อนให้ดูและขออนุญาตติชม พร้อมทั้งออกความคิดเห็น และช่วยกันปรับปรุงเสริมเติมส่วนที่ยังบกพร่องให้สมบูรณ์ขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของนาฎจริตท่ารำต่าง ๆ ที่มีการปรับเปลี่ยน และปรับปรุง จะได้นำมาเสนอในวันอังคารต่อไป

    สนั่น   ธรรมธิ
    สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    (ภาพประกอบโดยพิชัย  แสงบุญและเสาวณีย์  คำวงค์ )


ขอบคุณข้อมูลจาก  สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่