ค้นหา
เมนู
- หน้าหลัก
- หมวดหมู่
- ภัยพิบัติ (65)
- ธรรมชาติ (286)
- วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (172)
- สังคม (2814)
- วัฒนธรรม (3270)
- ความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรม (19)
- ชาติพันธุ์ (531)
- ประเพณี (780)
- ภูมิปัญญาไทย (1652)
- เครือข่ายทางวัฒนธรรม (204)
- วัฒนธรรมหลวง (17)
- เนื้อหาวัฒนธรรมรอจัดหมวด (0)
- ศิลปะและการบันเทิง (699)
- ศาสนาและจิตวิญญาณ (7090)
- เนื้อหารอจัดหมวด (26)
- ค้นหาชั้นสูง
- บริจาคเนื้อหา
- เกี่ยวกับโครงการ
ล็อกอิน
นาฏดุริยการล้านนา - เต้นโต
บทความ นาฏดุริยการล้านนา วันอังคารที่ 4 เมษายน 2549 - เต้นโต
เต้นโต
เต้นโต เป็นการแสดงของชาวไทใหญ่ ลักษณะการแสดง คือ ผู้แสดงสวมหุ่นรูปสัตว์แล้วเต้นหรือย่างย้ายตามจังหวะกลอง พร้อมทำอาการเลียนแบบสัตว์นั้น คล้ายการเชิดสิงโต
สำหรับความเป็นมา มีเรื่องเล่าเหมือนการฟ้อนกิงกะหร่า คือ ในสมัยพุทธกาล หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา และทรงจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธองค์เสด็จลงสู่โลกมนุษย์ในวันเทโวโรหนะ ครั้งนั้นบรรดาสัตว์ทั้งหลายในป่าหิมพานต์ได้พากันไปเฝ้ารับเสด็จ และแต่ละตัวต่างก็แสดงความลิงโลดดีใจ ในการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้าด้วยอาการต่างๆ เมื่อมนุษย์ไปเห็นเข้าก็จดจำมาจำลองเป็นการแสดง มีการฟ้อนกิงกะหร่าและเต้นโต เป็นต้น
- ลักษณะของโต
รูปร่างของโต เป็นสัตว์สี่เท้า บางตัวมีขนยาวปุกปุย บางตัวไม่มีขน ส่วนหัวบางแห่งมีลักษณะคล้ายเลียงผา บางตัวมีหัวคล้ายมังกร เฉพาะที่ปากมีการออกแบบให้ขยับและคาบสิ่งของได้
- การแสดงของโต
การเต้นโตจะใช้ผู้แสดงสองคน โดยคนทั้งสองจะเอาลำตัวเข้าไปอยู่ในหุ่นโต ส่วนขาสมมุติเป็นขาหน้าคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเป็นขาหลัง เวลาแสดงมีการเชิดเหมือนสิงโตจีน ซึ่งการแสดงทั้งสองคนต้องซักซ้อมนัดหมายกันเป็นอย่างดี ว่าจะใช้การเคลื่อนไหวจากท่าไหนไปสู่ท่าไหนจึงจะสมจริง เป็นที่ประทับใจของผู้ชม อนึ่ง การเต้นโตบางแห่งจะมีผู้แสดงอีกคนหนึ่งสวมหน้ากากออกมาร่วมแสดงด้วย ซึ่งการแสดงออกจะคล้ายแป๊ะยิ้มที่พบในขบวนเชิดสิงโต ผู้แสดงดังกล่าวเรียกว่า “ผีลู” นอกจากนี้สิ่งที่ผู้แสดงเต้นโตมักแสดงความสามารถเสมอ นั่นคือการคาบธนบัตร หากผู้ชมประทับใจก็จะนำธนบัตรไปวางให้โตคาบ ซึ่งรายได้ส่วนนี้ถือเป็นการสนับสนุนให้ผู้แสดงเกิดกำลังใจ ในอันที่จะสืบสานศิลปะการแสดงชนิดนี้ต่อไป
- ดนตรีประกอบ
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบในการเต้นโต คือวงกลองก้นยาว (กลองปูเจ่) หรือบางท้องที่อาจใช้วงกลองมองเซิง ตามแต่ความต้องการของเจ้าภาพหรือผู้แสดงเอง แต่ส่วนใหญ่แล้วที่พบเห็นโดยทั่วไปจะใช้วงกลองก้นยาว ทั้งนี้อาจะเป็นด้วยสาเหตุ ๒ ประการ คือ
๑.จังหวะกลอง ก้นยาวมีจังหวะในการตีเร็วเร้าใจ เหมาะสำหรับการเต้น และแสดงกิริยาตลกคะนองได้ดี แต่กลองมองเซิงมีจังหวะช้า ทำให้การแสดงดูอืดอาดน่าเบื่อ
๒.การเคลื่อนย้ายเครื่องดนตรี วงกลองก้นยาวใช้ฆ้องและฉาบขนาดเล็กกว่า เวลาเข้าขบวนแห่ก็สะดวกเพราะมีน้ำหนักเบา แต่วงกลองมองเซิงใช้ฆ้องใบใหญ่จนถึงเล็กสุดประมาณ ๕ - ๙ ใบ ซึ่งยากแก่การขนย้าย ฆ้องบางใบถึงขั้นหามเพราะน้ำหนักมาก และยิ่งสมัยปัจจุบันมีการพัฒนาการตีโดยทำเป็นฆ้องราว กล่าวคือทำราวขึ้นโดยมีที่แขวนลูกฆ้องตามจำนวนที่ต้องการ แล้วติดไม้สำหรับตีให้ตรงกับตำแหน่งที่แขวนไว้ โดยใช้ไม้บังคับเพียงอันเดียว มีบานพับยกขึ้นยกลงได้ ใช้ตีแทนคน ซึ่งประหยัดคนตีไปอีกมาก เพราะจะเหลือคนตีเพียง ๒ คน คือคนหามด้านหน้า ๑ คน คนหามด้านหลังอีก ๑ คน และคนหามด้านหลังจะเป็นคนตีไปด้วย
ปัจจุบันการเต้นโตมักแสดงคู่กับการฟ้อนกิงกะหร่า จนมีคนพูดติดปากว่า “ฟ้อนนกเต้นโต” ตัวของโตมีทั้งที่ออกแบบให้มีขนและไม่มีขน ดนตรีที่ใช้ประกอบนิยมใช้วงกลองก้นยาว (กลองปูเจ่) ส่วนโอกาสที่แสดงจะพบเห็นโดยทั่วไปในงานที่จัดหามาแสดง
สนั่น ธรรมธิ
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(ภาพประกอบโดยพิชัย แสงบุญ เนติ พิเคราะห์ และเสาวณีย์ คำวงค์)
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่