วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
06/11/2008
ที่มา: 
เว็บไซต์ล้านนาคดี http://lanna.mju.ac.th/ "ทุกภาพ ทุกตัวอักษร มอบเป็นวิทยาทานแด่ทุกท่าน"

นิทานล้านนา เรื่อง พี่น้องสองชาย
 
นานมาแล้วมีบ้านหลังหนึ่งชื่อว่า บ้านหนามเกตแก้ว มีพี่น้องสองชาย พ่อแม่ตายแล้ว พี่ชายมีโชคลาภวาสนาดี มีอาชีพเป็นช่างทำทอง ไปได้เมียที่ร่ำรวย ส่วนน้องไม่ค่อยจะมีปัญญา แต่ชื่อสัตย์ ไม่คดโกงไม่โกหกตอแหลผู้ใด ฝ่ายพี่ชายมีเล่ห์เหลี่ยมในการทำทอง น้องมีอาชีพทำไม้กวาดขาย

อยู่มาวันหนึ่งน้องเข้าป่าไปตัดต้นจากมาทำไม้กวาดขาย ขณะที่เดินตามทางก็เงยหน้าขึ้นไปทางเหนือ ไปเจอะเอานกแขกเต้าตัวหนึ่งขนดกเขียวสวยงามดี จึงหยิบก้อนหินได้ลองขว้างนกตัวนั้นพอดีขว้างไปถูกปีกนก ขนนกก็ร่วงลงมาอันหนึ่งแล้วนกก็บินหนีไป ขนนกสวยเหลือเกินเขาคิดว่าน่าจะเป็นนกวิเศษจึงเก็บขนนกนั้นมา ถึงบ้านเอาไปอวดให้พี่ชายดู พี่ชายก็รู้ในทันใดนั้นว่าขนนกนั้นเป็นเนื้อทองเพราะเขาเป็นช่างทอง เอาขนนกมาหลอมได้ทองคำบริสุทธิ์ชนิดนิดหนึ่ง พี่ชายก็สั่งว่า พรุ่งนี้ให้ขว้างนกให้ตายและเอาตัวมาให้จงได้ ความจริงพี่ชายรู้ว่านกตัวนั้นถ้าผู้ใดได้เอามาปิ้งกิน และได้กินตับไตก็จะมีเงินมีทองเกิดขึ้นวันละเท่าเมล็ดมะกล่ำอยู่บนหิ้ง แต่พี่ชายไม่ได้เล่าให้น้องฟัง เป็นแต่บอกว่าให้เอานกมาให้ได้ รุ่งขึ้นเมื่อกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็จัดแจงสั่งให้เมียห่อข้าวให้ เมียถามว่า ‘' สูจะเอาไปทำไม ‘' ข้าจะเอาไปใบจากและไม้ไผ่ ด้ามไม้กวาด และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ๆ '' เมียก็จัดเตรียมให้แล้วเขาก็สะพายห่อข้าวลงเรือนไป เดินไปตรงที่เดิมเมื่อวานนี้ นกตัวนั้นก็คงปรารถนาจะมาช่วยโปรดด้วยจึงมาเกาะอยู่ที่เดิมอีก นายคนนั้นก็คว้าก้อนหินปานกตัวนั้นถูกนกก็หัวปักลงไป เขาก็ไล่จับเอามาบีบคอจนตายแล้วเอาใส่ไว้ในย่าม ตกลงไม่ได้หาใบจากเลย และรีบกลับบ้าน เมียก็ต่อว่า '' สูไปเอาใบจากเอาด้ามไม้กวาดไม่ใช่หรือ อยู่ไหนล่ะไม่ได้สักนิด ‘' ‘' ข้าได้นกมาตัวหนึ่ง ข้าจะเอาไปอวดพี่ชายดู ‘' พอพี่ชายเห็นก็พูดว่า ‘' โอได้มาจริง ๆ หรือน้อง ‘' ‘' ได้มาแล้ว ‘' เอาไว้ตรงนั้นแหละ ให้พี่สะใภ้ปิ้งเสีย ขณะนั้นพี่ชายกำลังทำแหวนและทำสร้อยที่มีคนมาจ้างให้ทำ จึงปล่อยให้เมียปิ้งนกและพูดว่า ‘' ตู๋ ๆ ให้เด็ก ๆ กินเถอะนะ ''

ตอนนี้จะขอกลับไปเล่าถึงน้องชายอีกคนหนึ่ง น้องชายมีลูกชายแฝด พากันไปเที่ยวบ้านลุง เข้าไปถึงเห็นป้าเมียช่างทำทองมีธุระจะขึ้นไปบนบ้าน ปิ้งนกทิ้งไว้ข้างล่างก็ขอร้องให้หลานช่วยดูให้ ‘' “ ไอ้หนูมาเฝ้าให้ป้าทีซิ ป้าจะขึ้นไปบนบ้าน ‘' เด็กสองคนก็นั่งเฝ้านกปิ้งตัวนั้นอยู่ หวังใจว่าคงจะได้กินนกปิ้งบ้างรออยู่เป็นนาน ตับไตนกหลุดลงมาถูกกองไฟ เด็กสองคนก็พากันเก็บกินเสียหมด พี่กินตับ น้องกินไต เมื่อเมียช่างทำทองเสร็จธุระเดินลงมาเห็นตับไตนกตัวนั้นตกไฟไหม้หมดกลัวผัว จะดุด่า พอดีมีนกเขาที่เลี้ยงไว้ในบ้านมากมาย ก็จับนกเขามาตัวหนึ่ง ล้วงเอาตับไตมาใส่ไม้ปิ้งแล้วก็เอาไปให้ผัวของตนกิน กินแล้ววันรุ่งขึ้นก็ไม่เห็นมีเงินมีทอง ส่วนลูกชายฝาแฝดของน้องชายกลับมีเงินมีทองออกมาจากบนหิ้งวันละเท่าเมล็ด มะกล่ำ ชายช่างทำทองก็เกิดคิดขึ้นมาได้ว่าเด็กสองคนนั้นคงจะขโมยกินตับไตของนกตัว นั้นเสียเป็นแน่ จึงทำอุบายบอกน้องชายของตัวว่า ‘' ลูกของแกคงจะผีเข้า จัญไรบ้านจัญไรเมือง อะไรที่ไม่เคยเกิดก็เกิดขึ้น อะไรที่ไม่เคยมีก็มีขึ้น ควรที่จะเอาไปปล่อยในป่าเสีย ข้าว่าถ้าเพื่อนบ้านรู้ก็จะพากันมาฆ่ามัน เอาไปปล่อยเสียดีกว่า '' ทั้งนี้เพราะพี่ชายมีความอิจฉาน้องชาย ฝ่ายน้องก็ไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วน พร้อมทั้งมีความกลัวพี่ชายอยู่ด้วย และยังกลัวเพื่อนบ้านจะฆ่าลูกชาย เอาลูกชายทั้งสองไปปล่อยเสียดีกว่า ตัดสินในดังนั้นแล้ว ก็กลับมาเล่าให้ลูกให้เมียฟังว่า ‘' แม่เด็กเอ๊ย พี่ชายเขาบอกว่าเพื่อนบ้านเขาเล่าลือกันว่าลูกเราสองคนนี้เป็นคนจัญไรบ้าน จัญไรเมือง ลูกเอ๊ย พ่อนี้แสนจะสงสารเจ้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี ถ้าปล่อยให้ลูกอยู่อย่างนี้รู้ถึงหูพญาเจ้าเมืองเข้า เขาก็จะจับลูกไปฆ่า ให้ลูกอดใจเอาเถอะนะ พ่อจะเอาลูกไปปล่อยที่ห้วยคอกช้างโน้นก่อนนะ ‘' ลูกทั้งสองคนก็ร้องไห้ด้วยความทุกขเวทนา ไม่อยากไปก็จำเป็นต้องไป เมื่อพ่อมันพาไปปล่อยแล้วก็กลับมาบ้าน เด็กสองคนพี่น้องนั้นไม่รู้จะไปทางไหนก็พากันเดินเข้าป่าไปพอดีไปพบคนกลุ่ม หนึ่งมาเที่ยวป่า เห็นเด็กทั้งสองคนเข้าก็เกิดความสงสาร เห็นว่าเป็นเด็กหน้าตาดีจึงเก็บมาเลี้ยงไว้จนเติบโต คนที่เก็บเอาเด็กมาเลี้ยงไว้จนเติบโต คนที่เก็บเอาเด็กมาเลี้ยงไว้นั้นเป็นคนมีวิชาคาถาเป็นอาจารย์ จึงสอนเวทมนตร์คาถา สอนยิงหน้าไม้และธนูให้แก่เด็กทั้งสอง วันหนึ่งเด็กสองคนพี่น้องนั้นก็เกิดคิดถึงพ่อแม่และป้า ก็พากันไปลาอาจารย์ที่เก็บตัวมาเลี้ยงไว้ และก็บอกว่าจะขอลาไปตามหาพ่อแม่ อาจารย์ก็มอบมีดวิเศษให้ ๑ เล่ม และบอกว่าหากจะต้องแยกทางกัน ก็ให้เอามีดปักไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ หากใครเป็นอะไรลงไปก็ให้กลับมาดูมีดที่ปักไว้ หากมีดนั้นสนิมขึ้นก็หมายถึงว่าอีกคนหนึ่งกำลังเคราะห์หามยามร้าย

ก่อนที่เด็กสองคนพี่น้องนั้นจะแยกทางกัน เมื่อถึงต้นไม้ใหญ่ก็ได้สั่งเสียกันว่าหากคนใดได้ดิบได้ดีไปก็ขอให้หันหน้า กลับมาดูแลกันบ้าง ตั้งปรารถนาแล้วก็ตัดสินใจปักมีดไว้ที่ต้นไม้ใหญ่นั้น คนพี่แยกไปทางซ้าย คนน้องแยกไปทางขวา

เมื่อพี่ชายเดินทางไปถึงเมืองใหญ่ มีเครื่องหมายของความโศกเศร้าติดอยู่บนประตูเมืองเมื่อถามชาวบ้านชาวเมือง ด็ก็ได้ความว่า เมืองนี้มีมังกร ๗ หัวมากินผู้คนทุก ๆ ๗ วัน หากไม่ให้มันกิน มันก็จะอาละวาดรื้อเมืองหมด ชายคนนั้นก็รับอาสาว่าตนเป็นผู้ยิงธนูแม่น รับจะไปฆ่ามังกร ๗ หัวนั้นให้ เมื่อจัดการฆ่ามังกรนั้นตายแล้ว ชาวบ้านชาวเมืองก็แต่งตั้งให้เป็นพญาเจ้าเมือง อยู่มาไม่นานก็เกิดคิดถึงน้องชายว่าป่านนี้จะไปตกระกำลำบากอย่างไรบ้างก็ไม่ รู้ เมื่อคิดดังนี้จึงได้เดินทางกลับมาทางเก่า มาถึงต้นไม้ใหญ่ที่ปักมีดไว้นั้น เมื่อดึงออกมาดูก็เห็นเป็นสนิม จึงได้รู้ว่าน้องกำลังลำบาก ก็กล่าวลาชาวบ้านชาวเมืองและลูกน้องทั้งหลายออกเดินทางติดตาม ค้นหาน้องชายต่อไปไปพบกวางตัวหนึ่งวิ่งนำหน้าจึงตามกวางตัวนั้นไป ตั้งใจจะยิงกวางแต่ก็ยังไม่ได้ยิง ตามเข้าไปในป่าทึบจนมองอะไรไม่เห็น อดใจไม่ได้เลยตัดสินใจยิงธนูแดดเข้าไปทำให้ป่านั้นสว่างจ้าไปหมด ก็เลยมองเห็นแม่มดหรือผีป่าขังน้องชายของตนไว้ เมื่อสอบถามดูได้ความว่าเดินหลงป่าเข้ามา ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยพบหน้ามนุษย์เลย นอกจากแม่มดเอาตัวมาขังไว้ ในที่สุดก็พาน้องชายกลับมาอยู่ในบ้านในเมืองด้วย แล้วก็กลับไปรับพ่อแม่และอาจารย์ที่เก็บตนไปเลี้ยงไว้มาอยู่ด้วยกันด้วยความ ร่มเย็นเป็นสุข

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เล่าสู่กันฟังเพื่อให้เกิดความคิดเป็นแนวทางในการที่จะ นำไปปฏิบัติ นับเป็นวิธีสอนอีกอย่างหนึ่งของคนสมัยก่อนที่แอบแฝงมาในรูปต่าง ๆ

คติ ‘'ความรู้ความสามารถเพียงอย่างเดียวก็สามารถเอาตัวรอดได้ ‘'