วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
06/02/2009
ที่มา: 
เว็บไซต์วิถีชาวบ้านของ ครูศรีจันทรัตน์ กันทะวัง http://school.obec.go.th/phifo/index.html

หลงป่า
ศรีจันทรัตน์  กันทะวัง - ผู้เขียน

"เฮ .." เสียงเด็กกลุ่มใหญ่ส่งเสียงดังเมื่อน้อยหนูปลอดภัยและเป็นคนเดียวที่ลอดพ้นการ ไล่ล่าจากมือ หมาจิ้งจอก ตัวร้าย กลายเป็นผู้ชนะในเกมประตูหลง เกมการเล่นของเด็กชนบท

ทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์ตอนสาย เด็ก ๆ จะชวนกันไปวิ่งเล่นที่ลานโล่ง ใต้ต้นมะขามใหญ่หน้าบ้านพ่อหลวง ปกติพ่อหลวงจะใช้เป็นลานตากยาขื่น(ยาสูบ) แต่ช่วงนี้ลมหนาวพึ่งมาเยือน ยาสูบของพ่อหลวงเพิ่งแรกรุ่นยัง ไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ ลานโล่งจึงกลายเป็นสนามประลองกำลัง แข่งขัน เล่นสนุกสนานทุกอย่างของเด็ก ๆ ตามที่ได้เรียนรู้จากรุ่นพี่

ณ ลานตากยาพ่อหลวงมีของเล่นมากมายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น เล่นไข่เต่า บ่าบ้า ลูกปุ้น ลูกเก็บ เตย หรือประตูหลงเกมไล่ล่าที่เรียกเสียงเจี๊ยวจ๊าวมากกว่าอื่นใด

"วันก่อนพ่อบอกว่าตอนนี้ฝักกล้วยไม้ออกแล้ว" หวันเอ่ยขึ้นขณะนั่งพักเหนื่อยหลังการวิ่งไล่กันใน
เกมประตูหลง

"งั้นเราไปเก็บมาปิ้งกินกันเถอะ" น้อยหนูเอ่ยชวน

เด็ก ๆ ต่างตื่นเต้นที่จะได้เข้าป่ามันน่าสนุกมากกว่าประตูหลงที่ลานหน้าบ้านเสียอีก ต่างรีบกลับบ้าน เตรียมตัวเพื่อจะเข้าป่าและนัดเจอกันยังจุดนัดพบท้ายหมู่บ้าน

เสียงร้องหรีดหริ่ง จิ๊ก ๆ จั๊ก ๆ ของเหล่าแมลง นกน้อยบินเป็นคู่อยู่เหนือยอดไม้ กระรอกหางสวยกระโดด ข้ามกิ่งไม้ไปมา แสงแดดสาดส่องลอดต้นไม้ให้ไออุ่น เป็นระยะ ๆ ต้นตุ้มใบกลมมันออกดอกสีเหลืองเต็มต้น ก้อนหินเล็กใหญ่สีแดงอมชมพูถูกจัดไว้อย่างสวยงามสบายตา น้อยหนูผู้เคยเข้าไปหาของป่ากับพ่อ เมื่อปีกลาย เดินนำหน้าพาเพื่อน มีหวัน ปันคำ และบุญชุ่ม มุ่งหน้าไปยังแหล่งฝักกล้วยไม้ที่เคยเจอ หนึ่งปีกับการเปลี่ยนแปลง ช่างมากมาย ต้นไม้ใหญ่ขึ้นจนจำทางเกือบไม่ได้ สุดท้ายก็หาเจอฝักกล้วยไม้ เป็นฝักของเถาวัลย์ป่าชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายใบลำใยแต่สั้นกว่าอีกครึ่งหนึ่ง กลมออกรี ผิวนอกเป็นกลีบเล็ก ๆ คล้ายจีบผ้า ข้างนอกมีสีเขียว ข้างในจะเป็นสีม่วงแดง ฝักจะมีขนาดกว้าง 5 - 6 เซนติเมตร ยาว 8 - 10 เซนติเมตร ข้างในกลวงไม่มีเมล็ด คล้ายกระเป๋าสตางค์ที่มีซิป เด็ก ๆ จะเอาข้าวเหนียวยัดในฝักกล้วยไม้ แล้วปิ้งไฟให้สุก จะได้ข้าวเหนียวกล้วยไม้ สีม่วงกลิ่นหอมอร่อย

เด็ก ๆ เพลิดเพลินกับฝักกล้วยไม้ที่ออกมาให้เก็บมากมาย เก็บใส่ย่ามได้คนละค่อนย่ามกะจะนำไปปิ้งกันที่ ลานเล่น หน้าบ้าน อากาศเริ่มครื้มดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงสู่โค้งขอบฟ้า ทุกคนเร่งฝีเท้าให้ไวและเร็วที่สุด กึ่งเดิน กึ่งวิ่งแข่งกับแสงตะวัน เพราะต้องออกจากป่าหนองเมานี้ให้ได้ก่อนดวงตะวันจะตกดิน ยิ่งเดินเหมือน ดวงตะวัน ยิ่งวิ่งหนี แต่ทุกคนยังอุ่นใจที่ยังมีเพื่อนร่วมทาง และคิดว่าตนชำนาญป่า คงต้องออกไปได้ทันและจำต้นไม้เป็นระยะ ๆ ที่ตอนขามา เด็ก ๆ เดินไปไกลแต่เวียนกลับมายังที่เดิม ต่างพากันสงสัยว่าทำไมป่าตอนนี้มัน เปลี่ยนไปไม่เหมือนตอนมา หรือกำลังหลงทิศ

"ตอนนี้เราหลงป่าเสียแล้ว" น้อยหนูบอกกับเพื่อน ๆ ทุกคนหวาดหวั่นในใจ แต่ไม่แสดงออกว่ากลัว น้อยหนูผู้นำทางออกความคิดเห็นจากความรู้ที่ได้รับจากพ่อว่า

"เวลาหลงป่า ให้เดินตามลำห้วยดีกว่าเดินพื้นราบ อย่างน้อยก็ไม่อดน้ำเวลากระหาย สายน้ำทุกสาย ในป่านี้มุ่ง สู่แม่วังซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลัก และสายน้ำก็จะต้องมีผู้คนใช้น้ำและหาอาหาร ยิ่งมืดถ้าเดินในป่า ไม่รู้จะเจองูพิษ แมงป่อง ตะขาบ ฯลฯ และไม่สามารถจำต้นไม้ในเวลากลางคืนได้"

ทุกคนเห็นด้วย น้อยหนูบอกต่อว่า "ก่อนมาเราหันหลังให้ตะวัน ขากลับเราควรเดินตามตะวัน พ่อเคยบอกว่า เวลาหลงทิศให้ดูการปีนเกลียวของเถาวัลย์ เถาวัลย์จะปีนเกลียวไปทางทิศตะวันออก ดังนั้นเราควร เดินทวน ทิศทางของเถาวัลย์ แต่ตอนนี้ตะวันตกดินเสียแล้ว"

กลุ่มเด็กตัดสินใจเดินทางตามลำน้ำห้วยทราย โดยมีน้อยหนูเป็นผู้นำทาง พื้นทรายสีชมพูแดง เนื่องจากหิน ในป่าหนองเมาเป็นหินสีแดง เมื่อเวลาผ่านหลายปีหินผุพังกลายเป็นทรายสีชมพูสวยงาม ถ้าเป็นกลางวันคง ได้นั่ง เล่นชมความงามแต่เวลานี้ใจเร่งอยากให้ถึงบ้านอย่างเดียว      

ดวงตะวันลับหายท้องฟ้าเริ่มมืดแต่ก็ยังพอมีแสงสะท้อนจากน้ำและฟ้าให้พอ นำทางได้ พื้นห้วยทราย เดินไม่ยากนักเพราะเป็นพื้นทราย น้ำเย็นยะเยือก ทุกคนเปียกน้ำแต่ไม่ถึงกับหนาวสะท้าน เป็นเพราะทุกคน เร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงทำให้ออกจะร้อนมากกว่า ต่างเงียบกริบไม่พูดจาหรือออกความเห็น แต่อย่างใด ได้ยินแต่เสียงเท้ากระทบพื้นน้ำกระเด็นไปด้านหน้าและข้าง ๆ  เสียงแมลงและ เขียดป่า ร้องดัง แว็ก ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่รู้ว่าเสียงตัวไหนเป็นตัวไหนร้องรับกันตลอดทั้งป่า ฟังแล้วชวนวังเวงในใจ เสียงนกฮูกร้องดัง ฮูกกู้ ๆ ๆ ๆ บินเหนือศีรษะ ทำให้เด็ก ๆ ตกใจแต่ก็ยังเร่งฝีเท้าเดินต่อไปเดินไกลออกไปจากเดิมมาก แล้วก็ยัง ไม่เห็นที่หมาย ความหิวเริ่มคืบคลานเข้ามา มองเห็นหาดทรายกลางเกาะ มีพื้นที่กว้างพอที่จะให้หยุดพักได้ ทุกคนโผเข้าหาหาดทรายโถมตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยและหิว นับว่าเป็นโชคดีที่เป็นฤดูหนาวอากาศเย็นยุงไม่ชุมเหมือนหน้าฝน ไม่เช่นนั้นทุกคนคงได้นั่งตบยุงมือ เป็นประวิงเป็นแน่ พักพอหายเหนื่อย ทุกคนช่วยกันตัดไผ่บงแห้ง ๆ ข้างลำห้วยมาเพื่อก่อไฟ และทำแค่ไม้ (ไม้ไผ่แห้งสับมัดรวมกันใช้เป็นคบเพลิง)ใช้ก้าน(ส่อง)ปลาเพื่อเป็นอาหารมื้อ ค่ำ น้อยหนูกังวลในใจ แต่ก็แสดง ความกล้าให้ทุกคนเห็นว่าเขามีความชำนาญกว่าเพื่อน ๆ เด็ก ๆ ชวนกันเดินก้านปลาตามลำห้วย แต่ก้านปลา ไม่ได้สักตัว เพราะแสงไฟจากแค่ไม้ไผ่กระทบสายน้ำไหลทำให้เป็นคลื่นระยิบเหมือนเดือนดาวมอง ดูลายตาไปหมด สุดท้ายจึงต้องได้กินข้าวเหนียวปิ้งฝักกล้วยไม้

ข้าวเหนียวที่เหลือจากการกินตอนกลางวันมีไม่มากนัก ใส่ในฝักกล้วยไม้ปิ้งจนหอมยิ่งทวีความหิวมากขึ้น น้ำลายเริ่มแตกฟอง เมื่อจมูกรับรู้กลิ่นหอมรัญจวนใจ เหมือนกลิ่นดอกกล้วยไม้ ดอกกุหลาบ น้อยหนูค่อย ๆ ใช้มือแกะฝักกล้วยไม้ปิ้งที่วางไว้บนใบตองตึง ถ้าหากไม่ร้อนและมีมากกว่านี้ก็อยากจะกัดกินทีละสักครึ่งฝัก แต่เมื่อมีน้อยมีสิทธิ์ได้กินกันคนละ 2 ฝักเท่านั้น

ทุกคนไม่อยากจะเคี้ยวเพราะกลัวหมด ยิ่งอมได้สักระยะความหวานของข้าวยิ่งเพิ่มขึ้น อร่อยปากแต่ยังมี ความกังวลในใจ น้อยหนูเหลือบมองไปที่ย่ามเห็นฝักกล้วยไม้อยู่เกือบเต็ม ถ้าหากเป็นที่ลานบ้านพ่อหลวง คงมีความสุขจากการกินฝักกล้วยไม้ปิ้งมากกว่านี้ แสงดาวระยิบเต็มฟากฟ้า สายตาปรับแสงได้มองในป่าทำให้รู้ว่า กลางคืนไม่ได้มืดสนิทจนมองอะไรไม่เห็น ขณะนี้มีแสงไฟจากแค่ไม้ไผ่พอจะนำทางให้ออกจากป่านี้ได้

"ตกลงเราจะเดินต่อหรือจะหยุดเพื่อรอพรุ่งนี้" น้อยหนูเริ่มปรึกษาเพราะยิ่งเดินยิ่งไกลออกไป เด็ก ๆ เริ่มปรึกษากัน สุดท้ายน้อยหนูตัดสินใจบอกเพื่อน
"ฟ้าสางเราค่อยเดินต่อ เพราะถ้าเรายิ่งหลงไปไกลเราจะลำบากและเสียเวลามากขึ้น"

ทุกคนตกลงเพราะความเหนื่อย ชวนกันไปตัดไม้พาดกิ่งไม้ใหญ่ทำเป็นห้างนอนทุกคนเงียบกริบนอนฟังเสียง แมลงร้องประสานเสียงจนม่อยหลับไป เสียงไก่ป่าขันต่อกันเป็นระยะ ๆ ตะวันดวงโตโผล่พ้นขอบฟ้า แสงสีเหลือง ทองทาทาบทิวไม้เป็นแนวยาว แสงแดดอ่อนส่งผ่านกิ่งก้านและใบเป็นลำแสงดูคล้ายเส้นไหม ยามสะท้อนน้ำค้าง ใสที่เกาะบนใบหญ้า ระยิบระยับสวยงามไม่แพ้แสงดาวยามค่ำคืน นกน้อยส่งเสียงร้องสื่อภาษากัน สรรพสิ่งดูสดชื่น หลังได้พักผ่อนมาตลอดทั้งคืน      น้อยหนูตื่นตะลึงกับความงดงามที่เพิ่งเคยเห็นมันสวยยิ่งกว่าภาพวาดในหนังสือฝรั่งบ้านครูประชิดที่เขาเคยเห็น เขาขยับกายลุกขึ้นนึกขอบคุณเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เขารู้สึกว่าโชคดีกว่าใคร ๆ ที่ได้เห็นตะวันยามเช้า ที่สวยงามยิ่งกว่าตะวันยามเย็นเสียอีก

เด็ก ๆ รีบตื่นและชวนกันเดินทางต่อลัดเลาะไปตามลำห้วยทราย ต่างดีใจที่จะได้กลับบ้าน กลางวันดูทุกอย่าง คืนสู่ปกติ ต้นไม้ใหญ่ที่เจอเมื่อวานก็จำได้ น้อยหนูมองเถาวัลย์ที่ปีนเกลียวต้นไม้ก็รู้ว่าตอนนี้ตนเดินมาถูกทางแล้ว ไม่นานนักสายน้ำจากลำห้วยทรายก็ไปบรรจบแม่วังสายน้ำใหญ่ของหมู่บ้าน      

น้อยหนูกระโดดดีใจบอกเพื่อนว่าเราใกล้จะถึงบ้านแล้ว เพราะที่แห่งนี้ตนเคยมาหาปลากับพ่อเป็นประจำ ตั้งใจจะบอกพ่อว่าที่กลับบ้านถูกเพราะความรู้ที่พ่อเคยสอน แต่ที่หลงป่าเพราะไม่เชื่อที่พ่อห้ามไม่ให้เที่ยวเล่น ในป่าจนมืดค่ำน้อยหนูตั้งใจว่าต่อไปจะเชื่อที่พ่อสอนทุกอย่าง เพราะอย่างไรพ่อก็เคยเข้าป่ามาก่อนตน