ประวัติศาสตร์มอญ - มอญ ชนชาติบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
16/02/2009
ที่มา: 
http://www.monstudies.com

มอญ ชนชาติบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ


แผนที่ประเทศไทย


มอญ
เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมแห่งกรุงหงสา ชนเผ่าที่มีภาษา วัฒนธรรม และประเพณี เป็นของตนเอง กลุ่มชนที่อยู่เป็นกลุ่มนอกระบบ ชนกลุ่มน้อยที่ไม่ยอมถูกกลืน ชนชาติอิสระที่ปกครองกันเอง เผ่าพันธุ์สมิงพระรามผู้เกรียงไกร ชนเผ่าที่ไร้แผ่นดิน กลุ่มชนที่ไม่มีบนแผนที่โลก ชนกลุ่มน้อยที่สหประชาชาติเมิน ชนชาติที่ถูกลืม….. บนแผ่นดินสุวรณภูมิ

โดย : สุดารา สุจฉายา

   มอญ เป็นชนชาติเก่าแก่ ที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองมากชนชาติหนึ่ง ในภูมิภาคนี้ ตามพงศาวดารพม่ากล่าวว่า "มอญ"เป็นชนชาติแรกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพม่า มาเป็นเวลาหลายศตวรรษก่อนคริสต์กาล ชาว"มอญ"เป็นพวกที่มีเชื้อสายอยู่ ในกลุ่ม"มอญ"-เขมร และบางทีอาจจะอพยพมา จากตอนกลางของทวีปเอเชีย เข้ามาตั้งอาณาจักรของตนทาตอนใต้ บริเวณลุ่มแม่น้ำสาละวิน และสะโตง ซึ่งบริเวณนี้ในเอกสารของจีน และอินเดียเรียกว่า "สุวรรณภูมิ"

ขณะเดียวกันในแถบตอนกลาง ของประเทศพม่า ก็มีอาณาจักรหนึ่งที่เจริญรุ่งเรือง มาตั้งถิ่นฐานอยู่ นั่นก็คือ อาณาจักรพยู หรือ ศรีเกษตร พวกนี้ไม่เหมือนกับ"มอญ" หากเป็นพวกที่จัดอยู่ในเชื้อสายธิเบต-พม่า พวกพยู ได้ตั้งเมืองหลวงแห่งแรกขึ้นที่ ศรีเกษตร ใกล้กับเมืองแปร (Prome) ในปัจจุบัน และทุกวันนี้ ก็ยังคงมองเห็นเป็นซากปรักหักพัง ของสถาปัตย์แบบพุทธศาสนาหลายแห่ง โดยได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์นั่นเอง

นักภูมิศาสตร์อาหรับบางท่านเรียกมอญว่า รามัญประเทศ (Ramannadesa) ซึ่งหมายถึง "ประเทศมอญ" คำนี้เพี้ยนมาจากคำศัพท์โบราณของ"มอญ" คือ Rmen (รามัญ) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกตัวเองของ"มอญ" แต่พม่าเรียก"มอญ"ว่า ตะเลง (Talaings) ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า Talingana อันเป็นแคว้นหนึ่ง ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย

ตามตำนานกล่าวว่า มอญ เป็นผู้วางรากฐานสร้างเจดีย์ "ชเวดากอง" เป็นเวลาเกือบ 2500 ปีมาแล้ว หากแต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เรารู้แต่ว่า มอญ เป็นผู้นำศาสนาพุทธ เข้ามาในประเทศพม่า ในพุทธศตวรรษที่ 2 อาณาจักรสุธรรมวดีหรือสะเทิม (Thaton) ซึ่งเป็นศูนย์กลาง ของ"อาณาจักรมอญ" มีสัมพันธ์ใกล้ชิด กับพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งอินเดีย พระองค์ได้ส่งพระโสณะ และพระอุตร มาประกาศพระพุทธศาสนา ที่เมืองนี้ก่อนเมืองใดๆ ในแถบสุวรรณภูมิ

พงศาวดารมอญ กล่าวถึงอาณาจักรสะเทิมว่า สร้างก่อน พ.ศ. 241 โดยพระราชโอรส 2 พระองค์ของพระเจ้าติสสะ แห่งแคว้นหนึ่งของอินเดีย ได้นำพลพรรคลงเรือสำเภา มาจอดที่อ่าวเมาะตะมะ และตั้งรากฐานที่นั่น ซึ่งต่อมาเป็นที่ตั้งของเมืองสะเทิม ส่วนพระราชโอรสทั้งสอง ทรงเบื่อในการครองเรือน จึงได้ออกบวชเป็นฤาษี บำเพ็ญตบะแก่กล้า จนวันหนึ่งได้นำลูกของพญานาคที่ทิ้งไว้ มาเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม จนเมื่อเด็กเติบใหญ่ จึงได้สร้างเมืองให้ ณ ปากอ่าวเมาะตะมะ ตรงที่สำเภามาจอด ให้ชื่อเมืองว่า สะเทิม ส่วนบุตรบุญธรรม ก็ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์นามว่า พระเจ้าสีหราชา ซึ่งได้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งเมือง

อาณาจักรสะเทิม รุ่งเรืองมาก โดยได้ติดต่อค้าขาย ใกล้ชิดกับประเทศอินเดีย และลังกา และได้รับเอา อารยธรรมของอินเดียมาใช้ ที่สำคัญคือ ทางด้านอักษรศาสตร์ และศาสนา โดยเฉพาะรับเอาพุทธศาสนานิกายหินยานมา มอญ เป็นชาติที่มีบทบาทมากที่สุด ในการถ่ายทอดอารยธรรมอินเดีย ให้แก่ชนชาติอื่นๆ ในเอเชียอาคเนย์ เช่น ชาวพม่า ไทย และลาว ทั้งมีความเจริญสูง มีความรู้ดี ทางด้านการเกษตร และมีความชำนาญ ในการชลประทาน โดยเป็นผู้ริเริ่มระบบชลประทานขึ้น ในลุ่มน้ำอิระวดี ทางตอนกลางของประเทศพม่า ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 พวกพยูได้ย้ายราชธานีไปอยู่ที่ Halin ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือในเขตแดนชเวโบ ในระยะเวลาเดียวกันนั้นพวกน่านเจ้า ก็เข้ารุกรานทางตนเหนือของพม่า และทำสงครามกับพวกพยูในปี พ.ศ. 1375 กวาดต้อนชาวพยูไปเป็นเชลยจำนวนมาก พวกที่เหลือจึงลี้ภัยลงมาทางใต้ และสร้างเมืองพุกาม (Pagan) เป็นที่มั่นในปีพ.ศ. 1392 จากนั้นเรื่องราวของพวก"พยู"ก็หายไป ความอ่อนแอของพวก"พยู"ทำให้ชนอีกพวกหนึ่ง ที่มีเชื้อสายเดียวกัน ได้แก่ พวกมราม่า (Mramma) หรือพม่า ซึ่งอพยพมาจากบริเวณเขตแดนจีน-ทิเบต ได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งทางตอนเหนือ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14 ได้เข้ารุกราน และยึดครองดินแดนของพวก"พยู" แล้วค่อยๆกลืนพวก"พยู"จนสูญสิ้นชาติไปในที่สุด

ในช่วงที่อาณาจักรพยูถูก"น่านเจ้า" รุกรานนั้น อาณาจักรมอญ ที่สะเทิม ก็ได้มีโอกาส ขยายอำนาจไปทางภาคกลาง ของลุ่มแม่น้ำอิระวดีระยะหนึ่ง แต่ต่อมาเมื่อชนชาติพม่า มีอำนาจเหนืออาณาจักรพยู และได้ขยายอำนาจลงมาทางใต้ ก็เข้ารุกรานพวกมอญทางภาคกลาง ของลุ่มน้ำอิระวดี มอญในแถบนั้นจึงต้องถอยร่นลงมา รวมกำลังกันอยู่ทางตอนใต้เช่นเดิม และได้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ที่ หงสาวดี (Pegu) เมื่อปี พ.ศ.1368

ตามตำนานพื้นเมืองของ"มอญ" กล่าวถึงการสร้างเมืองหงสาวดีว่า มีเจ้าชายสองพี่น้องจากสะเทิม คือ เจ้าชายสามะละ และวิมะละ ได้มาตั้งเมืองหงสาวดีขึ้นบนเกาะ ซึ่งงอกออกมาจากทะเล อันเป็นบริเวณที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นหงส์ 2 ตัว เล่นน้ำอยู่ เป็นส่วนหนึ่งของที่ราบลุ่มสามเหลี่ยม ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี ซึ่งเรือของพ่อค้าอินเดีย เคยมาถึงเกาะดังกล่าวนั้นแล้ว แต่"มอญ" ยังคงอ้างสิทธิ์ในเกาะนั้น แม้ว่าอินเดียจะอ้างเป็นเจ้าของก็ตาม ต่อมาพระเจ้าสามะละ พระเชษฐาได้ส่งพระอนุชาไปศึกษาต่อที่อินเดีย โดยสัญญาว่าเมื่อเสด็จกลับมาจะถวายราชสมบัติให้ แต่เมื่อเจ้าชายวิมะละเสด็จมา พระองค์ก็ไม่สนพระทัยทำตามสัญญา เจ้าชายวิมะละจึงก่อกบฏ และปลงพระชนม์พระเชษฐาเสีย แล้วยึดบัลลังก์ พระมเหสีของพระ เจ้าสามะละ ได้นำพระราชโอรสหลบหนีไปอยู่นอกเมือง บริเวณทุ่งเลี้ยงควาย จนเจ้าชายน้อยเติบใหญ่ เป็นชายหนุ่มสูงใหญ่ กล้าหาญ และเข้มแข็ง เมื่อพระชนม์ได้ 16 ชันษา มีเรือพ่อค้าอินเดียมาท้ากษัตริย์ให้รบกับทหารอินเดีย ตัวสูงใหญ่ โดยพนันเอาเมืองสงหาวดีกัน กษัตริย์ทรงทราบดีว่าพระองค์ไม่สามารถสู้ได้ จึงประกาศหาผู้อาสามารบ แต่ไม่มีผู้ใดอาสาเลย วันหนึ่งนาย พรานออกป่าไปล่าสัตว์ ได้พบชายหนุ่มท่าทางเข้มแข็ง อยู่ท่ามกลางควายป่าดุร้าย ก็แปลกใจ จึงได้นำไปทูลต่อกษัตริย์ พระองค์จึงให้นำชายหนุ่มผู้นั้นเข้าเฝ้า และเมื่อทรงทราบว่าเป็นพระราช นัดดาของตนเอง ก็ทรงละอายพระทัยต่อความผิด ต่อมาชายหนุ่มผู้เป็นราชนัดดาของกษัตริย์ ได้อาสาออกรบ ปรากฎว่าได้รับชัยชนะในการต่อสู้ พระองค์จึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง และได้คืนราชบัลลังก์ให้เป็นรางวัลตอบแทน

นอกจากนี้ ในตำนาน ยังได้ให้รายพระนามกษัตริย์ ที่ครองกรุงหงสาวดี ก่อนสมัยพระเจ้าฟ้ารั่ว แต่ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะไม่มีเอกสารใดยืนยันได้ พระนามกษัตริย์ที่ระบุไว้มีดังนี้
1) พระเจ้าสามะละ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1368 อันเป็นที่ตั้งกรุงสงหาวดี
2) พระเจ้าวิมะละ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1380 เป็นอนุชาพระเจ้าสามะละ
3) พระเจ้าอะสะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1397 เป็นพระราชโอรสพระเจ้าสามะละนัดดาพระเจ้าวิมะละ
4) พระเจ้าอรินทมะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1404
5) ภิกษุไม่ทราบชื่อ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1428
6) พระเจ้าเคอินทะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1445
7) พระเจ้ามิคาทีปะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1460
8) พระเจ้าเคอิศศะทิตย์ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1475
9) พระเจ้ากรวิก ครองราชย์ปี พ.ศ. 1485
10) พระเจ้าปยินจะละ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1497
11) พระเจ้าอัตตะสะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1510
12) พระเจ้าอนุยะมะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1525
13) พระเจ้ามิคาทีปะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1537
14) พระเจ้าเอกะสะมันต์ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1547
15) พระเจ้าอุบล ครองราชย์ปี พ.ศ. 1559
16) พระเจ้าบุณฑริก ครองราชย์ปี พ.ศ. 1570
17)พระเจ้าดิศศะ ครองราชย์ปี พ.ศ.1584

หลังจากนี้ในช่วงปี 1600-1830 เป็นระยะที่กรุงหงสาวดี ตกอยู่ใต้อำนาจพุกามในพุทธศตวรรษที่ 16 "อาณาจักรสุธรรมวดี "ที่รุ่งเรื่องก็สลายลง เนื่องจาก"พระเจ้าอนิรุทธ์" กษัตริย์พม่าแห่ง"พุกาม"ได้ยกทัพมาตี และกวาดต้อนผู้คน ทรัพย์สมบัติ พระสงฆ์ พระไตรปิฎก กลับไปพุกามจำนวนมาก รวมทั้ง"พระเจ้ามนูหะ" กษัตริย์แห่งสุธรรมวดีด้วย "พงศาวดารมอญ"บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า  "เมืองสะเทิมที่ยิ่งใหญ่เหลือแต่ซากและเงียบสงบจับใจ"

การที่พระเจ้าอนิรุทธ์ ยกทัพมาตี"อาณาจักรมอญ" เป็นเพราะว่าขณะนั้น พระองค์ไม่พอใจในศาสนาเดิมของพุกาม ที่นับถือมหายานแบบตันตริก ซึ่งปนไสยศาสตร์ เรียกว่า"ลัทธิอรี" พระองค์ต้องการแก้ไข  และทรงสนพระทัยในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่กำลังรุ่งเรืองมาก ในอาณาจักรสุธรรมวดี ไปเผยแพร่ในพุกาม แต่เป็นการยาก เพราะพุกามขาดพระไตรปิฎก ดังนั้น พระองค์จึงส่งทูตไปขอพระไตรปิฎก จากพระเจ้ามนูหะแห่งสุธรรมวดี ตามคำแนะนำของ ชินอรหันต์ ซึ่งประวัติศาสตร์กล่าวว่า เป็นพระภิกษุมอญที่ทรงอาราธนา มาช่วยฟื้นฟูศาสนาในพุกาม แต่ว่าพระเจ้ามนูหะไม่ยินยอมให้ ทำให้พระเจ้าอนิรุทธ์ ซึ่งต้องการขยายอำนาจลงมาทางใต้อยู่แล้ว ฉวยโอกาสยกทัพมาตีสุธรรมวดี

ใน"พงศาวดารมอญ กล่าวเป็นตำนานถึงการที่พระเจ้ามนูหะ แพ้แก่พระเจ้าอนิรุทธ์ว่า เป็นเพราะพระเจ้าอนิรุธได้ใช้กลวิธี ส่งพระราชธิดาของตนไปทำลายพระเจ้ามนูหะ โดยให้ธิดาของตนทำลายของวิเศษ 3 อย่าง ของพระเจ้ามนูหะ คือ
ทำลายไม่ให้พระเจ้ามนูหะสมาทานศีล
ทำลายกลองพิเศษ
ทำลายแม่ทัพ 2 คน ที่มีฝีมือเก่งกล้าในการรบ
เมื่อพระธิดาสามารถทำลายได้แล้วทั้ง 3 อย่าง ก็ได้ส่งข่าวให้กองทัพของพระเจ้าอนิรุทธ์ กรีฑาทัพบุกเข้าตีสะเทิม จนอาณาจักรสะเทิมต้องแตกไปในที่สุด

แม้ว่าพม่าจะได้ชัยชนะ แต่พม่าก็ต้องรับเอา"วัฒนธรรมของมอญ" มาเป็นของตนเอง "ภาษามอญ"ได้แทนที่ภาษาบาลี และสันสกฤตในจารึกหลวง และศาสนาพุทธเถรวาท ได้เป็นศาสนาที่นับถือสูงสุดในพุกาม ทั้งนี้เพราะ"มอญ"มีความใกล้ชิดกับลังกา ซึ่งขณะนั้นเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท และนิกายนี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่งเอเชียอาคเนย์

กษัตริย์พุกาม ผู้ซึ่งดำเนินนโยบายรวม"มอญ"กับพม่าเข้าด้วยกัน ตามนโยบายแบบเดียงกับพระเจ้าอนิรุทธ์ อีกพระองค์หนึ่งก็คือ พระเจ้ากยันสิทธะ พระองค์ทรงดำเนินนโยบาย โดยทรงผูกมิตรกับราชตระกูลของพระเจ้ามนูหะ "กษัตริย์มอญ"แห่งสะเทิม โดยการยกพระราชธิดาให้กับเจ้าชายมอญ และได้เลือกพระราชโอรส ที่ประสูติจากทั้งสองพระองค์นี้ ให้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ นามว่า อลองคะสิทธู ซึ่งในยุคของพระเจ้าอลองคะสิทธูนี้เอง ที่"อาณาจักรพุกาม"ได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่นที่สุด นอกจากนี้ในสมัยของพระเจ้ากยันสิทธะ ศิลาจารึกของพระองค์จะมีทั้ง"ภาษามอญ"และภาษาพม่า คำประกาศใน"ภาษามอญ" ก็ยกย่อง"วัฒนธรรมมอญ"เหนือกว่าวัฒนธรรมพม่าด้วย

มอญ ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของพม่า มาจนถึงปี พ.ศ. 1830 เมื่อ"มองโกล"ยกทัพมาตีพม่า มอญ ก็ได้รับเอกราชอีกครั้งหนึ่งโดย มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว หรือวาเรรุ ราชบุตรเขยของ"พ่อขุนรามคำแหง" ได้กอบกู้เอกราช  และสถาปนาราชวงค์ชาน-ตะเลง สถาปนา"อาณาจักรมอญอิสระ" มีศูนย์กลาง อยู่ที่เมืองเมาะตะมะ เมาะตะมะ เป็นเมืองหลวงของมอญจนถึงปี พ.ศ. 1912 ก็ย้ายกลับไปหงสาวดีตามเดิม ถึงในสมัย"พระเจ้าราชาธิราช"นั้น "หงสาวดี"ก็กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่ ใหญ่โต ทางแถบ"อ่าวเบงกอล" มีเมืองท่าที่สำคัญหลายแห่ง "อาณาจักรมอญ"เจริญสูงสุดในสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ คือ ระหว่าง พ.ศ.2015-2035 หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2094 หงสาวดีก็เสียแก่ พระเจ้า"ตะเบงชะเวตี้" กษัตริย์พม่า ซึ่งในช่วงนี้เองที่ราชวงศ์ตองอูของพม่าขึ้นปกครองหงสาวดี จนถึงปี พ.ศ. 2283 สมิงทอพุทธิเกศ ก็กู้เอกราชคืน มาจากพม่าได้สำเร็จ ทั้งยังยกทัพไปตีเมืองอังวะอีกด้วย ในพ.ศ.2290 พระยาทะละ ได้ครองอำนาจแทนสมิงทอพุทธิเกศ ได้ทำการขยายอาณาเขตต่อไป ทำให้อาณาจักรพม่าสลายตัวลง แต่"ชัยชนะของมอญ"ก็เป็นช่วงสั้นๆเท่านั้น ในปี พ.ศ.2300 อลองพญา ก็กู้อิสรภาพของพม่ากลับคืนมาได้ ทั้งยังได้โจมตีมอญ จนต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจพม่า และนับตั้งแต่นั้นมา มอญ ก็ไม่มีโอกาสที่จะกู้เอกราชคืนมาได้อีกเลย จนกระทั่งทุกวันนี้.

บทความจาก เว็บ บ้านจอมยุทธ
- พงศาวดารมอญ -