ผิดก่อน-ผิดมาก (พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก)
![]() ผิดก่อน-ผิดมาก วัดป่าสุนันทวนาราม คำนำ คำสอนและพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ในเล่มนี้ เป็นเรื่องของ “กรรม” ในแง่มุมต่างๆ จึงน่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ตั้งใจศึกษาและพิจารณาอย่างจริงจัง พระอาจารย์ให้ชื่อหนังสือว่า “ผิดก่อน-ผิดมาก” โดยท่านบอกว่า “ฝากไว้เตือนใจ” เวลาที่เราทุกข์ ถ้าเราคิดได้ว่า “ผิดก่อน” และ “ผิดมากกว่า” เราก็จะไม่กล่าวโทษผู้อื่น ไม่คิดปองร้าย ไม่คิดเบียดเบียน มีแต่โอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่ตน เกิดหิริโอตตัปปะ ไม่ก่อกรรมวนเวียนอีก ขอให้ทุกท่านเจริญยิ่งขึ้นในธรรม มีความสงบในจิตเพื่อความสุขอันเป็นความปรารถนา มูลนิธิมายา โคตมี |
|
๏ ผิดก่อน-ผิดมาก วันคืนล่วงไปๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ ขณะที่เราอยู่อย่างนี้ เวลาไม่เคยรอใคร เวลาผ่านไปๆ ทุกขณะๆ วันคืนล่วงไปๆ ความตายเข้ามาใกล้ทุกขณะๆ จงพิจารณาดูชีวิตของตนว่า "เรากำลังทำอะไรอยู่ สร้างประโยชน์ให้กับตนเองและต่อผู้อื่นแล้วหรือยัง สร้างประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ข้างหน้า ประโยชน์สูงสุดแล้วหรือยัง" คนเราตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้ ดิ้นรนแสวงหาแต่ความสุขกันทุกคน แต่มีใครบ้างได้พบความสุขที่แท้จริงหรือพอใจในชีวิตของตนจริงๆ ชีวิตของเราทุกวันนี้มันแข่งกับเวลา รีบร้อนตลอดเวลา แม้แต่เวลานอนก็ยังรีบร้อนอยู่ คิดนี่ คิดโน่น คิดไปทั่วทุกสารทิศทั้งใกล้ทั้งไกล รีบร้อนแสวงหาความสุข แต่ชีวิตเราสังคมเราดูๆ เหมือนจะสับสนวุ่นวาย ความเดือดร้อนรุนแรงมากขึ้นๆ ทุกวัน มนุษย์เราค้นคว้าหาความรู้มากขึ้นๆ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ ศาสตร์เหล่านี้ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามกาล ตามเหตุปัจจัย ทุกปีๆ คนเราส่วนใหญ่วิ่งตามแต่ตามไม่ทัน หมดแรง หมดหวัง สับสนวุ่นวาย ศาสตร์เหล่านี้ไม่เคยช่วยเราให้มีความสุขที่แท้จริงได้ ศาสตร์หนึ่งที่พวกเรามองข้ามไปคือ พุทธศาสตร์ นั่นเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมครูของเรา ตรัสรู้มาเป็นเวลา 2583 ปี ก่อนโน้น พวกเราจำนวนมากมักจะดูหมิ่นดูถูกมองข้ามไป เห็นว่าเป็นเรื่องเก่าแก่ล้าสมัย แต่ความจริงคำสั่งสอนของพระองค์นั้นเป็นสัจจะความจริงไม่เปลี่ยนตามกาล ใครประพฤติปฏิบัติถูก และเข้าไปรู้เข้าไปสัมผัสแล้วก็จะเหมือนกัน รู้แล้วก็ทั้งตื่นและเบิกบานใจมีความสุข จนแม้กระทั่งความสุขอย่างยิ่ง ตามที่ท่านกล่าวไว้ว่า..... "นิพพานัง ปรมัง สุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง" สัมมาทิฏฐิ พุทธศาสตร์เป็นศาสตร์ว่าด้วยสัมมาทิฏฐิ ความรู้ชอบ ความเห็นชอบ สมมุติว่า เรามาอยู่ที่นี้อย่างนี้ได้กินส้มอร่อย นึกอยากจะปลูกไว้สักต้นหนึ่ง ได้กล้าไม้ดีต้นหนึ่ง เอาไปบ้านปลูกที่บ้าน กล้าไม้พันธุ์ดีเรียกว่า เหตุดี ต้นไม้นี้ถ้าจะให้งอกงามเจริญเติบโตให้ผลิตผลเร็วต้องอาศัยปัจจัยพอดีด้วย หากเลือกดินดี ปุ๋ยดี แสงสว่างพอดี น้ำพอดี สิ่งเหล่านี้เรียกว่า ปัจจัย ปัจจัยสนับสนุนพอดีๆ แล้วต้นไม้ก็โตเร็ว ถ้าต้นไม้พันธุ์ดี แต่ขาดปัจจัย เช่น ปุ๋ยไม่ดี น้ำไม่พอ ต้นไม้ก็จะตาย เหตุดี ปัจจัยพอดี ผลิตผลดี ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ชีวิตของเราอยู่ได้ก็ต้องอาศัยบิณฑบาต (อาหาร) จีวร (ผ้านุ่งห่ม) เสนาสนะ (ที่พัก) และเภสัช (ยารักษาโรค) ญาติโยมผู้มีศรัทธาอุปฐากแก่พระผู้มีศรัทธา ก็จะเกิดพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นไปเพื่อละกิเลส พระอริยสงฆ์ มรรคผล นิพพานจะปรากฏในโลก ถ้าพระที่มีศรัทธามีอยู่ แต่ขาดแคลนปัจจัย 4 ก็จะไม่ค่อยได้ปฏิบัติเหมือนกัน ญาติโยมทำบุญกับพระที่ไม่มีศรัทธาก็ไม่เกิดประโยชน์ บางครั้งพระมีศรัทธาดี ตั้งใจปฏิบัติและปฏิปทางดงาม น่าเลื่อมใส ญาติโยมก็พากันถวายลาภสักการะมากๆ ในที่สุด ไม่ได้ผลดี หรือพระก็สึกออกไป คล้ายกับว่า ปุ๋ย น้ำเป็นปัจจัยที่จำเป็นมากสำหรับต้นไม้ แต่มากไปก็เกิดโทษเหมือนกัน ตัวเราคือตัวเหตุ สิ่งแวดล้อมคือปัจจัย
ปัจจุบันธรรม การศึกษาธรรม ท่านให้ศึกษาปัจจุบันธรรม กิเลส อนุสัยเป็นของเก่า ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง เป็นเพียงการกระตุ้นเอาของเก่าออกมา เมื่อเห็นอารมณ์ปัจจุบันได้เช่นนี้ เราจะมีโอกาสที่จะปฏิบัติได้ 2 วิธี วิธีใหม่คือ ตั้งเจตนาให้ถูกต้อง อดีตเป็นเหตุ ปัจจุบันเป็นผล ปัจจุบันเป็นเหตุ อนาคตเป็นผล
๏ กรรม
การกระทำของเราเรียกว่ากรรม พูดให้พิสดารอีก กรรมมี 4 อย่าง การกระทำของมนุษย์ทั่วๆ ไป ถึงแม้ว่าเราไม่ทำผิดศีลธรรมอะไรมากนักก็ตาม การทำมาหากิน ต้องขัดผลประโยชน์กัน ดีกับเราไม่ดีกับเขา ดีกับพวกนี้ ไม่ดีกับพวกโน้น เราทำให้ทุกคนพอใจไม่ได้ คนที่ไม่พอใจเราก็จะต่อต้านเราสารพัดวิธี เราต้องทำใจ ถ้าเราทำใจไม่ได้ ก็จะเป็นทุกข์ อย่างนี้เรียกว่าวิบากทั้งขาวทั้งดำ สัพพะปาปัสสะ อะกะกะนัง การไม่ทำบาปทั้งปวง กรรมไม่ขาวไม่ดำ วิบากไม่ขาวไม่ดำ คือกรรมที่เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ข้อวัตรปฏิบัติคือ เจริญโพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ศีลก็อยู่ในสัมมาสมาธิ เมื่อสมาธิสมบูรณ์ ปัญญาก็เกิด การศึกษาปฏิบัติธรรมนั้นเราควรสนใจเรื่องศีล เข้าใจให้ถึงพริกถึงขิง ในการทำวัตรเย็น อานิสงส์ของการพิจารณากรรมก็เพื่อให้เกิดความไม่ประมาท
จิตใต้สำนึก - เด็ก 3 ขวบ ข้อมูลที่น่านำประกอบการพิจารณา คือนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ค้นคว้าทดลองวินิจฉัยดูว่า ชาติก่อนมีจริงหรือไม่ สิ่งที่ต้องการค้นหาคือข้อมูลจากจิตใต้สำนึก บางคนก็ค้นคิดเครื่องไฟฟ้าพิเศษ แต่โดยมากอาศัยคนที่สะกดจิตเก่งๆ สะกดจิตทำให้คล้ายๆ นอนหลับเคลิ้มๆ ไม่รู้สึกตัว แล้วค่อยๆ ถามว่าเมื่อวานนี้ทำอะไรกับใคร 2-3 วันก่อนทำอะไรกับใคร ถามย้อนไปเรื่อยๆ ตอนเกิดมาใหม่ๆ ในโลกนี้ใครมาทำอะไร เขาสามารถพูดได้ แล้วเขาก็ถามไปถึงชาติก่อนๆ เขาสามารถนำข้อมูลเก่าๆ ออกมา คือชาติก่อน 2, 3, 4 ชาติ ก่อนได้เรื่อยๆ เด็กไร้เดียงสา พูดอะไรทำอะไรไม่ได้ก็ตาม จิตใต้สำนึกของเขาเปิดเก็บข้อมูลต่างๆ ไว้ตลอด พ่อแม่ทะเลาะกัน หรือได้ประสบการณ์ที่เจ็บปวดต่างๆ เขาเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อถึงเวลามีเหตุปัจจัยพร้อมก็จะออกมาในรูปแบบของกิเลสหรืออารมณ์ คนโบราณบอกว่า "จิตวิญญาณเด็กอายุ 3 ขวบมีอิทธิพลต่อไปถึงอายุ 100 ปี" วัยเด็กๆ ช่วงอายุ 3 ขวบ นี้เป็นช่วงที่กำลังสร้างนิสัยใจคอ อ่อนไหวต่ออารมณ์ที่มากระทบจากภายนอก การให้ปัจจัยสนับสนุนสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ ขาดความอบอุ่นก็ไม่ได้ ดุมากไปก็ไม่ได้ ตามใจ เอาใจ ดูแลมากไปก็ไม่ดี เลี้ยงลูกต้องหาความพอดีเป็นสิ่งสำคัญ พ่อแม่ต้องใช้สติปัญญาศึกษาหาความพอดีให้สมดุลกัน ความรัก ความเคารพ และความกรุณา ต้องพอเหมาะพอดี คือสอนให้รู้ผิด รู้ถูก ควรไม่ควร จิตใต้สำนึก - ลูกอยู่ในท้องแม่ หน้าที่ของพ่อแม่ต่อลูกเริ่มต้นตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องแม่ นอกจากแม่จะต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและระวังสุขภาพแล้ว ต้องส่งกระแสจิตที่เป็นความรักเมตตาเป็นสิ่งสำคัญ อารมณ์ของแม่มีอิทธิพลต่อลูก พ่อก็มีหน้าที่คือพยายามประพฤติตนให้อยู่ในศีลธรรม ไม่ให้แม่วิตกกังวล เครียดในสิ่งต่างๆ หน้าที่ของแม่คืออ่านหนังสือดีๆ ฟังเพลง ฟังธรรมะที่ช่วยทำใจให้สงบสบาย พยายามรักษาจิตใจให้สงบสบายเป็นสิ่งสำคัญ ลูกเรียกร้องความรักจากพ่อแม่ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ พระวินัยทางศาสนานับอายุตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ผู้ชายบวชเป็นพระภิกษุได้เมื่ออายุครบ 20 ปี นับรวม 6 เดือนในท้องแม่ด้วย แม้แต่พืชผักต้นไม้ก็ได้รับผลประโยชน์จากการดูแลเอาใจใส่ที่ดีเหมือนกัน มีบางคนเปิดเพลงให้กล้วยไม้ฟัง สร้างบรรยากาศดีๆ กล้วยไม้ก็ออกดอกสวยๆ ที่ประเทศญี่ปุ่นมีการเปิดเพลงให้โคนมฟังเพื่อเขาจะได้มีอารมณ์ดีๆ มีความสุข จะได้ผลิตนมมากๆ เห็นผลได้ชัดเจนว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ สิ่งเหล่านี้บอกชัดเจนว่าปัจจัยดีๆ เป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ออกผลดี ลูกอยู่ในท้องแม่ก็เหมือนกัน ถ้าแม่อารมณ์ดี พูดฟังแต่สิ่งที่ดีๆ ลูกก็จะเป็นคนที่มีอารมณ์ดีด้วย พ่อแม่จึงต้องให้ปัจจัยสนับสนุนดีๆ ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องแม่ วจีกรรม กายกรรม ถ้าลองสังเกตและพิจารณาคำพูดต่างๆ ต่อเนื่องกันแล้วก็จะเห็นผลดีผลเสียชัดเจน คำพูดที่พูดออกไปแล้ว เห็นผลเป็นทุกข์แล้วสามารถหาสาเหตุได้โดยไม่ยาก เราจึงจะรู้ได้ว่าคำพูดต่างๆ ที่พูดอยู่ทุกวันนี้มีทั้งผลดีผลเสีย สร้างปัญหาต่างๆ มากมาย ต้องระวังมากๆ วจีกรรมมีจริง และมีความหมายมากมายจริงๆ กายกรรมก็เหมือนกัน ความประมาททางกายนี่ เสียหายมากทั้งแก่ตนและแก่ผู้อื่น การกระทำทางกาย กายกรรมมีจริงและเกิดผลเป็นผลดีผลเสียได้ ต้องสำรวมระวังกายกรรมให้มาก สรุปได้ว่ามโนกรรม วจีกรรม กายกรรม มีจริง มีความหมายมาก มีอิทธิพลต่อสุขทุกข์ของเราเป็นอย่างมาก ต้องสำรวมระวังการคิด พูดทำอะไรๆ ทุกอย่าง
|
๏ กัมมะทายาทา
สุภาพสตรีคนหนึ่ง
กัมมะทายาทาแปลว่าเรามีกรรมเป็นผู้ให้ผล
ทายาทคือ ผู้รับมรดก ผู้รับผลกรรม วิบากกรรมมีจริง
เมื่อเราทำความดีความชั่วด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
เราต้องเป็นผู้รับวิบากกรรมที่เราทำไว้จริงๆ
มี สุภาพสตรีท่านหนึ่ง เริ่มเข้ามัชฌิมวัยแล้ว มาทำบุญใส่บาตรที่วัดป่าแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด มีอยู่ช่วงหนึ่งเธอห่างจากวัดไปเป็นเดือนๆ พอเธอกลับมาวัดอีกครั้ง สังเกตได้ว่ากราบพระไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนเดิมเพราะใส่แขนปลอม หลังฉันเสร็จโยมผู้ชายคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า สามีของเธอทำงานที่กรุงเทพและมีบ้านเล็กมีภรรยาน้อยอยู่ที่นั่น
เช้าวันหนึ่งเธอทะเลาะกับสามีรุนแรงและด่าไปว่า "อยากจะตัดแขนของเมียน้อย" หลังจากสามีไปทำงาน เธอนั่งรถไปทำธุระกับเพื่อน 3 คน เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำประตูรถทับแขนซ้ายขาดหายไปข้างหนึ่ง นอกจากนั้นไม่เป็นอะไรมากนัก คนอื่นก็ไม่เป็นอะไร เหตุการณ์นี้ทำให้ตัวเธอผู้นั้นและอีกหลายๆ คน เชื่อว่าวิบากกรรมมีจริง
สุภาพสตรีผู้นั้นคงเคียดแค้นและคิดอยู่เป็นประจำว่า "อยากจะตัดแขนเมียน้อย" เพราะคิดว่าถ้าเขาไม่มีแขนคงจะไม่มีใครรักเขา ผลคือผู้คิดผู้พูดรับวิบากกรรมเอง นี่คงจะเป็นวิบากกรรมจากทั้งมโนกรรมและวจีกรรม
ความโกรธ
สมัยพุทธกาล พระภิกษุองค์หนึ่งทูลถามพระพุทธเจ้าว่า มีคนๆ หนึ่งมีนิสัยขี้โกรธมาก มีอะไรไม่ถูกใจ ไม่ชอบหน้าใครก็ด่าๆ พวกเรารำคาญจริงๆ จะทำอย่างไรดี
พระองค์สอนว่า ความโกรธเหมือนการทำอาหารให้คนอื่นกิน ถ้าเขาไม่กินก็ต้องกินเอง ทำเองกินเองนั่นแหละ ถ้าเราไม่ชอบก็อย่าสนใจ เฉยเสียเท่านั้นเอง ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก เขาโกรธเขาด่าเรา เราเป็นทุกข์ นั่นแหละ เรากินอาหารที่เขาปรุงให้แล้วผลคือทุกข์ด้วยกันทั้งคู่
เมื่อเรากินของเขาแล้ว ก็ต้องทำอาหารให้เขากินบ้าง ก็คือเราก็โกรธเขาด่าเขากลับไปบ้าง กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้หลายภพหลายชาติไม่รู้จักจบสิ้น นี่คือชีวิตของสัตว์และมนุษย์
ลองคิดดูนะ อย่างเราที่เดินทางมาด้วยกันหลายคน ถึงแม้ว่าเป็นการเดินทางเพื่อแสวงบุญก็ตาม สิ่งที่ได้เห็นสิ่งที่ได้ยิน อาจไม่ถูกใจกัน ผิดใจกันก็เป็นธรรมดา ถ้าเราไปยึดเอาจริงเอาจังเราก็โกรธเขา กลับบ้านก็ติดอารมณ์ ครุ่นคิดไม่พอใจเขา โกรธ ด่า นินทาในใจตลอดคืน
เราทุกข์ตลอดคืน คนที่เรากำลังโกรธ เขาคงจะกินสบาย นอนสบาย ดูโทรทัศน์ มีความสุข กับครอบครัวของเขา ความโกรธของเราหลายวันก็อาจจะไม่หาย วันหนึ่งเราอาจถามเขาว่า วันนั้นทำไมเธอพูดอย่างนั้น ทำไมเธอทำอย่างนั้น โดยมากเขาก็จำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้จงใจทำอย่างที่เราคิด เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิด ส่วนมากมักจะเป็นอย่างนั้น เพราะเขาก็ทำเป็นปกติธรรมดาของเขา เราคิดไปเอง ปรุงแต่งไปเอง
เราทำเหตุ เราก็รับผลอยู่อย่างนั้น คือ ทุกข์ โกรธ อยู่อย่างนั้น
ผลตอบแทนอาจจะเป็น 2 เท่า 3 เท่า 10 เท่า
หลายๆ เท่าก็ได้
ถ้าเราพิจารณาดูให้รอบคอบแล้วก็จะเห็นได้ชัดว่า ด่าเขาเหมือนด่าตัวเอง นินทาเขาเหมือนนินทาตัวเอง ดูหมิ่นดูถูกเขาเหมือนดูหมิ่นดูถูกตัวเอง เบียดเบียนเขาเหมือนเบียดเบียนตัวเอง ทำร้ายเขาเหมือนทำร้ายตัวเอง ฆ่าเขาเหมือนฆ่าตัวเอง
ควรพิจารณาลึกๆ อีกว่า ไม่ใช่ว่าเราทำเขาว่าเขาหนึ่งแล้วเราจะได้รับผลตอบแทนกลับมาหนึ่งเท่านั้น แล้วแต่เหตุปัจจัย ผลตอบแทน ผลิตผลอาจจะเป็น 2 เท่า 3 เท่า 10 เท่า หลายๆ เท่าก็ได้ มะละกอเมล็ดหนึ่งเพาะปลูกทะนุถนอมดูแลอย่างดีให้ปัจจัยสนับสนุนพอดีๆ ปีต่อไปอาจจะผลิตผลเป็นหลายร้อยลูกก็ได้ 2 ปี 3 ปี จึง ค่อยๆ หมดสภาพไป อายุมากแล้วก็ตายไป
ทำดี ทำบาปก็เหมือนกัน เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ใครจะกล้าทำบาปอีก เห็นโทษของนินทา อาฆาตพยาบาท อิจฉาริษยา ฯลฯ บาปทุกชนิดแล้วก็ไม่มีใครกล้าทำต่อไป แม้แต่บ่นอยู่ในใจก็ไม่คุ้มค่าเลยนะ ทำให้ชีวิตของตัวเอง เศร้าหมอง
กรุงเทพฯ ทุกวันนี้รถติดเป็นระดับโลก คนขับรถคนนั่งอยู่ในรถหงุดหงิดเครียดกันทั้งเมือง เขาพูดกันว่าอย่างนี้ก็มี ขับรถไปมีรถตัดหน้าเลยเกิดอารมณ์ คิดจะสั่งสอนเขา หยุดรถแล้วเปิดประตู ไปว่าเขา เขาก็ยิงปืนใส่ให้ ยิงทิ้งเลยแล้วก็หลบหนีไป ว่าเขาคำเดียว ถูกยิงตายเลย
กิเลสครอบงำวูบเดียว ขโมยของติดคุกติดตะราง เสียชื่อเสียงเสียความสุขหลายปี เล่นชู้ เที่ยวกลางคืน ติดโรคเอดส์ ครอบครัวเป็นทุกข์ทั้งครอบครัว ตลอดชีวิต ความชั่วถ้าเข้าไปอยู่ในความดี ความดีไม่ปรากฏเลย ทำนองที่ว่าซื้อปลามาร้อยตัว มีปลาเน่าปนอยู่ตัวหนึ่ง ไม่กี่วันก็จะพากันเสียไปเกือบหมด เก็บน้ำฝนไว้เต็มถัง หนูตกไปตายตัวเดียว กินใช้อะไรไม่ได้เลย สมาชิกครอบครัวดีทุกคน มีคนเกเรอยู่คนเดียวเหมือนมีห้องน้ำอยู่หน้าบ้าน หาความสุขลำบาก
การทำความดีก็เช่นเดียวกัน
ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีเรื่องเล่ากันว่า
หลายปีก่อน มีคนแก่คนหนึ่ง ดูท่าทางยากจน เสื้อผ้าก็เก่า ล้มนอนอยู่ข้างถนนหน้าโรงพยาบาล นางพยาบาลคนหนึ่งเห็นเข้าก็พาเข้ามาในโรงพยาบาลและเยียวยารักษาให้เป็นอย่างดีด้วยความเอาใจใส่ ไม่นานก็ดีขึ้น คนแก่คนนั้นจะกลับบ้านแต่เขาไม่มีเงินติดตัวเลย นางพยาบาลก็ให้ค่ารถพอที่เขาจะขึ้นรถกลับบ้านได้
ไม่กี่วันเขานั่งรถเบ็นซ์ แต่งตัวดี เป็น เถ้าแก่ มาเยี่ยมนางพยาบาลใจดี และถามว่าอยากได้อะไรบ้าง นางพยาบาลก็ตอบกลับไปว่า "ฉันเองไม่อยากได้อะไร แต่ถ้ามีตึกสักหลังหนึ่งทางโรงพยาบาลจะได้รักษาคนไข้มากขึ้น" เถ้าแก่คนนั้นจึงสร้างตึกให้โรงพยาบาลหลังหนึ่ง การทำความดีก็อาจจะมีผลมากมายได้เหมือนกัน โดยเฉพาะการทำบุญกับผู้ทรงศีล ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมีอานิสงส์ใหญ่มีผลใหญ่
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าให้ละบาปเป็นประการแรก
ให้มีหิริโอตตัปปะ ละอายบาป กลัวบาป
ให้เกิดสติปัญญา กำลังใจ ในการละบาป
ให้เกิดศรัทธาในการทำความดี
ผลดี ผลเสียวิบากกรรมมีจริงๆ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จริงๆ
๏ กัมมะโยนิ อุบาสกมหากาล ท่านให้พิจารณาถึง กัมมะโยนิ ซึ่งแปลว่า เรามีกรรมเป็นแดนเกิด โยนิแปลว่าพาไป พาไปเกิด ที่เกิดบาป อันตนทำไว้ เกิดในตน มีตนเป็นแดนเกิด ตัวอย่างของท่านอุบาสกชื่อมหากาล ท่านมหากาลเป็นโสดาบัน รักษาศีลอุโบสถเดือนละ 8 ครั้ง ฟังธรรมกถาตลอดคืนในวิหาร (วัด) ครั้งนั้นช่วงกลางคืน พวกโจรเข้าไปในบ้านใกล้วิหารแล้วได้ทำโจรกรรม ขโมยของ เมื่อเจ้าของบ้านตื่นขึ้น พวกโจรหนีกระจัดกระจายกันไปทั่วทิศ ส่วนโจรคนหนึ่งหลบหนีเข้าไปในวิหารทิ้งของบางอย่างที่ขโมยมาไว้หน้าอุบาสกมหากาลซึ่งฟังเทศน์ฟังธรรมมาตลอดคืน พอพวกเจ้าของบ้านตามล่าหมู่โจรพบเห็นสิ่งของที่ถูกขโมยมาตรงหน้าอุบาสกมหากาล จึงจับแล้วสาบแช่งด่าว่าต่างๆ นานา "ขโมยของของเราแล้วแสร้งนั่งเหมือนฟังธรรมอยู่" และทุบตีอุบาสกมหากาลจนตาย แล้วปล่อยทิ้งไว้ ครั้งนั้น ภิกษุหนุ่มสามเณรทั้งหลาย ถือหม้อน้ำดื่มไปแต่เช้าตรู่ พบเห็นมหากาลนอนตายอยู่เช่นนั้นกล่าวกันว่า สงสารมหากาลฟังธรรมกถาอยู่ในวิหารต้องมามรณะลงอย่างนี้ไม่สมควรเลย ใครๆ ก็รู้จักอยู่ว่าอุบาสกมหากาลเป็นคนดี เป็นโสดาบันไม่เคยทำบาปเลย จึงได้พากันกราบทูลถามพระบรมศาสดา พระองค์ตรัสว่า "อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย นายมหากาลได้มรณะไปอย่างไม่สมควรในอัตตภาพนี้ แต่เขาได้มรณะสมควรแก่กรรมที่เขาทำไว้แล้วในการก่อนนั้นแล" ภิกษุหนุ่มและสามเณรเหล่านั้นกราบทูลอาราธนาให้เล่าเรื่องราว พระพุทธเจ้าจึงตรัสเล่าถึง บุพกรรม ของมหากาลนั้นว่า ในอดีตกาลพวกโจรซุ่มอยู่ที่ป่าดงแห่งหนึ่งในแคว้นของพระเจ้าพาราณสี พระราชาทรงตั้ง ราชภัฏ คนหนึ่งไว้ที่ป่าดง ราชภัฏคนนั้นรับค่าจ้างแล้วก็นำคนไปจากฟากข้างนี้สู่ฟากข้างโน้น นำคนจากฟากข้างโน้นมาสู่ฟากข้างนี้ โดยอารักขาเพื่อให้พ้นภัยจากพวกโจรเหล่านั้น วันหนึ่ง บุรุษคนหนึ่งพาภริยารูปสวย ของตนขึ้นสู่ยานน้อยแล้วไปที่นั้น ราชภัฏพอเห็นหญิงนั้นก็เกิดเสน่หารักใคร่ เมื่อคู่สามีภริยาขอร้อง "ขอนายท่านจงช่วยให้เราทั้งสองผ่านพ้นดงนี้เถิด" ราชภัฏก็ตอบว่า "บัดนี้ค่ำมืดเสียแล้ว พรุ่งนี้เช้าเถิดเราจะพาไป เรามีที่พักอาหารให้ไม่ต้องห่วง" สองสามีภริยาอ้อนวอนว่า "นาย ยังมีเวลาขอได้โปรดนำเราทั้งสองไปเดี๋ยวนี้เถิด" ขอร้องอย่างไรราชภัฏก็ยืนยันว่าจะพาไปพรุ่งนี้ สามีภริยาทั้งคู่ไม่ปรารถนาเลยแต่จำเป็นต้องไปพักกันที่เรือนพักกับพวกของราชภัฏ ในเรือนของราชภัฎนั้นมีแก้วมณีดวงหนึ่ง ราชภัฏได้นำไปซ่อนที่ยานน้อยของสามีภริยาคู่นั้น ในเวลาจวนรุ่งเช้า ให้ลูกน้องทำเสียงเป็นพวกโจรเข้าไปในบ้าน แล้วพวกลูกน้องก็ต้องเอะอะขึ้นว่า "นายๆ แก้วมณีหายไปแล้ว" นายราชภัฏได้สั่งให้ตั้งด่านตรวจตั้งกองรักษาไว้ที่ประตูบ้านทุกจุด แล้วตรวจค้นหาแก้วมณี ในที่สุดเขาก็ได้พบเห็นแก้วมณีที่ตนซ่อนไว้ที่ยานน้อยของสามีภริยาคู่นั้นจึงพูดขู่ว่า "เจ้าขโมยแก้วมณีไป" แล้วก็ด่าและเฆี่ยนตีสามีนั้นจนตายแล้วก็นำไปทิ้งเสีย พระบรมศาสดาทรงสาธยายมาถึงตรงนี้แล้วก็หยุด เอ นึกสงสัยว่าผู้หญิงรูปสวยกับราชภัฏชั่วร้ายนี้ เป็นอย่างไรกันต่อไป ท่านไม่ได้บอก แต่ราชภัฏสมัยนั้นคือท่านอุบาสกมหากาลนี่เอง กัมมะโยนิ บาปกรรมอันตนทำไว้เอง เกิดในตน มีตนเป็นแดนเกิด ย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม พระพุทธเจ้าทรงอธิบายไว้อย่างนี้ พระโมคคัลลานะ ประวัติพระโมคคัลลานะก็คล้ายกัน ท่านเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า เป็นผู้เลิศด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ถ้าพูดถึงอิทธิฤทธิ์ของท่านก็เท่าเทียมพระพุทธองค์ทีเดียว ท่านคู่กับพระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญา ถ้าพูดถึงปัญญาของพระสารีบุตรก็เท่าเทียมกับพระพุทธองค์ พระประธานในโบสถ์วิหารมักจะมีสาวก 2 องค์ เบื้องขวาเป็นพระสารีบุตร เบื้องซ้ายเป็นพระโมคคัลลานะนี่เอง ชาติสุดท้ายของท่านไม่ได้ทำบาปอะไรเลย เป็นเด็กดีเป็นคนดี เมื่อเข้ามาในพระศาสนา ท่านปรารภความเพียรอยู่ 8 วันก็ได้บรรลุอรหัตตผล หลังจากนั้นท่านได้ช่วยประกาศพระศาสนาหลายสิบปี เข้าใจว่าท่านอายุได้ 120 ปี พระพุทธเจ้าเมื่อท่านอายุได้ 80 ปี แล้วเข้าปรินิพพาน พระอานนท์ท่านอายุถึง 120 ปี เข้าใจว่าพระโมคคัลลานะก็อายุได้ 120 ปี อย่างไรก็ตามสุดท้ายของชีวิตท่าน ท่านถูกโจร 500 ฆ่าตาย วันหนึ่งท่านนั่งอยู่ในกุฏิ รู้สึกผิดสังเกต จึงกำหนดตรวจดูก็รู้ว่าพวกโจรเป็นจำนวนมากถือมีดถืออาวุธครบมือล้อมกุฏิท่านไว้ ท่านได้ทราบความที่ตนถูกพวกโจรนั้นล้อมแล้วก็อธิษฐานจิตหลบหนีออกไปทางรูกุญแจ พวกโจรบุกเข้ามาในกุฏิไม่เห็นท่านก็กลับไป รุ่งขึ้นเช้ามืดพวกโจรก็มาอีก ท่านก็เหาะหนีขึ้นสู่อากาศ หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน พวกโจรกลับมารบกวนท่านบ่อยๆ ในที่สุดวันหนึ่งท่านพิจารณาดูสาเหตุก็ทราบว่า ชาติก่อนโน้นท่านได้ฆ่าพ่อแม่ไว้ วิบากกรรมอันนี้เองที่พวกโจรเหล่านี้จะมาฆ่าท่าน ประกอบกับเป็นวาระที่สมควรถึงเวลาที่ท่านจะละสังขารแล้ว ท่านจึงไม่หนีอีกต่อไป ยอมรับความจริง ยอมรับวิบากกรรมที่ตนทำไว้ พวกโจรจับท่านแล้วก็ทุบท่านจนกระดูกแตกยับเยินเป็นชิ้นน้อยประมาณเท่าเมล็ดข้าวสารหัก เมื่อเห็นว่าพระโมคคัลลานะตายแล้ว ก็หลีกไป แต่จริงๆ แล้วท่านยังไม่ตาย ท่านคิดว่า "เราจะไปเฝ้าพระบรมศาสดาเสียก่อน แล้วจักปรินิพพาน" ดังนี้แล้วจึงประสานอัตตภาพด้วยฌานสมาธิ ทำให้มั่นคง แล้วเหาะไปทางอากาศสู่สำนักพระบรมศาสดา ถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าจักปรินิพพานแล้ว" พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "เธอจักปรินิพพานหรือโมคคัลลานะ" ท่านตอบว่า "ข้าพระพุทธเจ้าจักปรินิพพานแล้วพระเจ้าข้า" พระบรมศาสดา ตรัสถามว่า "เธอจักปรินิพพานที่ไหน" ท่านตอบ "ข้าพระองค์จักไปสู่ประเทศชื่อกาฬสีลา แล้วปรินิพพานพระเจ้าข้า" พระบรมศาสดาตรัสว่า "โมคคัลลานะ ถ้ากระนั้น เธอจงกล่าวธรรมะแก่เราแล้วจึงค่อยไปเพราะบัดนี้เราจักไม่พบเห็นสาวกผู้ใดเช่นเธออีก" หลังจากนั้นท่านถวายบังคมพระบรมศาสดา เหาะขึ้นไปในอากาศแสดงฤทธิ์มีประการต่างๆ ถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วไปสู่ดงแห่งกาฬสีลาประเทศ ปรินิพพาน ณ ที่นั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมกล่าวว่า "น่าสังเวชจริงๆ พระโมคคัลลานะถูกพวกโจรทุบตาย มรณภาพอย่างนี้ไม่สมควรเลย" พระบรมศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ" พระภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "การมรณภาพของพระโมคคัลลานะไม่สมควรแก่ท่านซึ่งเป็นพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์" พระบรมศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะมารณภาพไม่สมควรแก่อัตตภาพนี้เท่านั้น แต่เธอถึงมรณภาพอย่างนี้ สมควรแท้แก่กรรมที่เธอทำไว้ในกาลก่อน" พระบรมศาสดาได้ตรัสเล่าอดีตกรรมของพระโมคคัลลานะให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า ในอดีตกาล กุลบุตรผู้หนึ่งเป็นชาวเมืองพาราณสีเป็นคนดี คนขยัน เป็นคนกตัญญูมาก ทำกิจต่างๆ ทุกอย่างด้วยตนเองตลอดถึงปรนนิบัติมารดาบิดาซึ่งชรามากแล้ว พ่อแม่สงสารลูกชายคนเดียวต้องทำงานในป่า ทำงานบ้านแล้วยังต้องดูแลปรนนิบัติ พ่อแม่ผู้ชราถึง 2 คน จึงพูดว่าจะหา ภริยา ให้เพื่อแบ่งเบาภาระจะได้สบายและมีความสุขเหมือนคนทั่วๆ ไปแต่ลูกชายก็ปฏิเสธ "คุณพ่อ คุณแม่ ไม่ต้องห่วงเลย ผมไม่ต้องการหญิงสาว ผมจักบำรุงท่านทั้ง 2 ด้วยมือของผมเองตราบเท่าที่ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่" พ่อแม่อดสงสารเกรงใจลูกชายไม่ได้ อ้อนวอนเขาอยู่อย่างนั้น แล้วก็หาหญิงสาวมาให้แต่งงานเป็นสามีภริยากัน หญิงนั้นดูแลบำรุงพ่อสามีแม่สามีอยู่ 2-3 วันเท่านั้นก็เบื่อขี้เกียจ ภายหลังก็ไม่อยากเห็นท่านทั้งสองนั้นเลย จึงบอกสามีว่า "ฉันไม่อาจอยู่ในที่แห่งเดียวกับมารดาบิดาของเธอได้" แกล้งกล่าวโทษติเตียนต่างๆ นานาแต่สามีก็ไม่เชื่อถ้อยคำของเขา วันหนึ่งเมื่อสามีออกไปข้างนอกเขาก็เอาปอ ก้านปอและฟองข้าวยาคูไปเทเรี่ยราดไว้ในบ้านให้เลอะเทอะสกปรกไปหมด สามีกลับมาก็ถามว่า "นี่อะไรกัน" ภริยาก็บอกว่า "นี่เป็นกรรมของคนแก่ผู้ชราเหล่านี้ ท่านทั้งสองเที่ยวทำเรือนทั่วทุกแห่งให้สกปรก ฉันไม่อาจอยู่ในที่แห่งเดียวกันกับท่านทั้งสองนั้นได้" ภริยาบ่นพร่ำอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกของลูกชายก็ค่อยๆ เปลี่ยน แล้วก็พูดกับภริยาว่า "เอาเถอะฉันรู้จักกรรมที่ควรทำแก่ท่านทั้งสอง" ดั่งนี้แล้วก็เชิญมารดาบิดาให้บริโภคแล้วบอกว่า "จะพาไปเยี่ยมญาติทางโน้นซึ่งเขาคิดถึง หวังให้คุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมอยู่" แล้วก็พาท่านทั้งสองขึ้นสู่ยานน้อยแล้วพาไป ครั้นถึงกลางดงก็บอกท่านว่า "ช่วยกันจับเชือกนี้ไว้ โคทั้งสองจักไปด้วยดี แถวนี้มีพวกโจรซุ่มอยู่ผมจะลงไปตรวจดู ดังนี้แล้วก็มอบเชือกไว้ในมือของบิดา ตนเองลงจากยานน้อยไป แล้วได้แกล้งทำเสียงให้เป็นเหมือนเสียงของพวกโจรซุ่มอยู่ มารดาบิดาได้ยินเสียงดังนั้นเชื่อว่าพวกโจรซุ่มอยู่จริงๆ ด้วยความรักความห่วงใยลูกชายกล่าวว่า "ลูกเอ๋ย พ่อแม่แก่แล้วไม่ต้องห่วงเรา เจ้าจงหนีไป รักษาเฉพาะตัวเจ้าให้พ้นภัยเถิด" เขาทำเสียงดุจโจรทุบตีมารดาบิดาที่เฝ้าขอร้องให้เขาหนีไปด้วยความรักให้ตาย ทิ้งไว้ในดงแล้วกลับไป ลูกชายสมัยนั้นคือพระโมคคัลลานะนี้เอง เพราะเหตุนี้ การมรณภาพของโมคคัลลานะอย่างนี้จึงสมควรแก่กรรมที่ตนทำไว้โดยแท้ บาปอันตนทำไว้เองเกิดในตน
๏ กัมมะพันธุ
กัมมะพันธุ แปลว่าเรามีกรรมเป็นผู้ติดตาม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรประมาท มีโอกาสมากด้วย ถ้ามีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น พยายามทำแต่กรรมที่ดี เช่น ให้ทาน มีแต่ให้ๆ ๆ ๆ
แม่ถูกลูกสาวบ่น เมื่อเราใช้ชีวิตร่วมกัน การไม่ถูกใจกันเป็นธรรมดา ที่ประเทศญี่ปุ่น วันหนึ่ง ผู้หญิงวันกลางคน มาเยี่ยมมาสนทนาธรรม อาจารย์ก็นั่งฟังไปเรื่อยๆ จนเขาพูดจบ อาจารย์เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกในวันนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุ เมื่อซักถามว่าตอนที่ลูกเล็กๆ แม่สอนจู้จี้ใช่ไหม คำพูดของลูกสาวก็ไม่ใช่อื่น คือคำพูดของแม่ที่เคยสอนลูกทั้งนั้น ถ้าแม่เข้าใจอย่างนี้ ต้องตั้งใจปฏิบัติ เมื่อเราเข้าใจลูกแล้ว ก็จะเกิดเมตตาสงสาร ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาหนักเท่าไร ถ้าเราเข้าใจเหตุผล สรุป ให้เราพิจารณาวิเคราะห์กรรมในแง่ต่างๆ แล้วสรุปได้ว่า จักทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป ในที่สุดก็จะเข้า "สะจิตตะปะริโยทะปะนัง"
ผิดก่อน ในเรื่องของแม่เด็กที่ถูกลูกสาวบ่นอยู่เรื่อยๆ ในทุกกรณีผู้ที่ได้รับทุกข์โทษแต่ละท่านแต่ละคน ถึงแม้ว่าจะทุกข์มากขนาดไหน เราต้องทำใจให้ได้ พยายามไม่ให้คิด ผิดมาก เด็กทำแก้วน้ำแตกแล้วเราโกรธก็ดี แต่ในทางธรรมะแล้ว ท่านว่าเด็กทำแก้วน้ำแตกก็ไม่ได้เจตนาจะทำเช่นนั้น ความผิดของเขาทั้ง 2 กรณี ก็มีอยู่แต่ไม่มากมาย ผิดทางกายกรรม วจีกรรม ท่านจึงสอนว่า ถ้าใครเตือนใจได้เสมอว่าๆ ผิดทีหลังไม่มี การปฏิบัตินั้น เราต้องโอปนยิโก คือน้อมเข้ามาดูตัวเองเสมอ ธรรมะเป็นยาที่มีฤทธิ์มาก ถ้าใช้ถูกจะได้ผลดี ถ้าใช้ผิดก็ให้โทษมากเหมือนกัน อย่าพูด เมื่อใจเราไม่ดี เหตุหนึ่งที่ทำให้คนเสื่อมศรัทธาในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตรงกันข้ามกับพุทธประสงค์ที่สั่งสอนพวกเราว่าให้ ๏ วิธีเจริญเมตตา 1. เราต้องเข้าใจก่อนว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรานั้น สมเหตุสมผลทุกกรณี กรรมเราทำไว้ก่อนทั้งนั้น ความโกรธ ความโลภ ความหลงในจิตใจเป็นต้นเหตุ เราต้องรับผิดชอบ 100 % ด้วยตัวเอง 2. พยายามเข้าใจ เห็นอกเห็นใจเขาว่า เขาก็กำลังทุกข์เหมือนเราเหมือนกันทุกชีวิต ทุกข์จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ผิดหวัง ไม่สมปรารถนาต่างๆ ยิ่งคนที่กำลังด่านินทาเรา เขาทุกข์ก่อนเราอีก สงสารเมตตาเขา ถึงแม้ว่าเขากำลังได้เปรียบ เราเสียเปรียบก็ตาม ไม่ต้องอิจฉาเขา ไม่ต้องน้อยใจอะไรเลย ถ้าเขากำลังได้เปรียบมีความสุขที่ได้มาจากอกุศลกรรม บาปกรรม แล้วไซร้ เปรียบเทียบได้ว่าเขากำลังมีความสุขอยู่ชั้นบน แต่ชั้นล่างไฟกำลังไหม้บ้าน ควรสงสารเขาตั้งแต่บัดนี้เดี๋ยวนี้ขณะนี้ เราไม่ต้องสร้างกรรมสร้างเวรกับใครอีกต่อไป ให้ตั้งอยู่ในความดี ความถูกต้องด้วยกายวาจาใจดีกว่า 3. เริ่มฝึก เจริญสติ ปัญญา เมื่อกระทบอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ และกำลังจะเกิดอารมณ์ เสียอารมณ์ รีบตั้งสติ หายใจลึกๆ ซ้ำๆ เป็นจังหวะๆ จะเริ่มรู้สึกตัวขึ้น ทำให้ต่อเนื่องกัน ไม่ให้คิดจองเวรคิดอาฆาตพยาบาท คิดบ่น คิดเบียดเบียน ให้ระงับอารมณ์ ถ้าคิดก็คิดสอนใจตัวเอง ให้รู้จักคิดถูก ฝึกสติ ฝึกปัญญาในการแก้ปัญหาอย่างนี้ 4. ฝึกสมาธิเช้าเย็น 10-15 นาที ทำบ่อยๆ ในวันหนึ่ง ตื่นเช้า หลังจากกินอาหารเช้า ในรถ ก่อนทำงาน หลังเลิกงาน ก่อนโทรศัพท์สำคัญ เมื่อเกิดอารมณ์เสีย เป็นต้น ตั้งใจ ไม่โกรธ รักษาใจระวังใจในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายหน้า ซึ่งเคยทำให้เราโกรธ ทุกข์ อยู่บ่อยๆ ตั้งใจแผ่เมตตา ส่งถึงทุกคนทุกชีวิต ไม่จำกัด ไม่ยกเว้น แม้แต่คนที่เราไม่ชอบ ตั้งใจคิดดี พูดดี ทำดี ในทุกกรณี 5. เจริญ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ซึ่งเป็นองค์ฌาน 5 - วิตกในสมาธิ หมายความว่า นึกๆ ๆ อารมณ์กรรมฐานอย่างเดียว เช่น ความรู้สึกที่ลมสัมผัสที่เกิดขึ้นจากการหายใจเข้าออก พยายามตั้งสติบ่อยๆ นั้นแหละ - ถ้าเกิดวิตก ตั้งสติติดต่อกัน ไม่ช้าก็จะเกิดวิจาร วิจารในที่นี้ คือ รู้สึกตัว รู้ว่าหายใจยาว สั้น เบา หนัก ร้อน เย็น เป็นต้น ความรู้สึกตัวนี้เป็นกำลังผูกมัดจิตกับอารมณ์กรรมฐานให้แนบแน่นมากขึ้น แล้วความปีติ สุข ก็จะเกิดตามมา มีความสุขที่สุดในโลก - พยายามเจริญสมาธิ จนสัมผัสความสุขในสมาธิบ่อยๆ เมื่อเรารักษาความสุขทางใจได้นั่นแหละ ใจเราจึงจะมีเมตตา เป็นใจเมตตา มีความรัก ความสุข เต็มหัวใจ สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข .................... เอวัง ....................
|