สอนคนขี้บ่น- พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

วันที่เอกสารถูกสร้าง: 
19/03/2008
ที่มา: 
http://www.dhammajak.net/book/gavesako01/
คำนำ
 

              ในตอนแรกของหนังสือเล่มนี้ท่านพระอาจารย์ตั้งใจสอนคนขี้บ่นโดยเฉพาะ เพื่อให้เห็นโทษของการบ่น ให้เห็นว่า การบ่น การนินทา นั้นเป็นความผิด เป็นความชั่วที่จะนำทุกข์โทษมาสู่ตัวเราแน่นอน ส่วนในตอนที่สองนั้นท่านพระอาจารย์สอนเรื่อง ความคิด ท่านบอกว่า ผู้ปฏิบัติธรรมต้อง คิดถูก ไม่ คิดชั่ว แต่ในกรณีที่ความคิดกำลังรุนแรง ก็ต้องค่อยๆ ผ่อนปรนจะฝืนทีเดียวก็ไม่ได้ ท่านอธิบายวิธีผ่อน วิธีปฏิบัติให้เราได้พิจารณาศึกษา

              คำว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ฟังแล้วใครๆ ก็คิดว่าเราเข้าใจแล้ว เรารู้แล้ว แต่จริงๆ แล้ว เราอาจจะยัง รู้ ไม่ทะลุก็ได้ เราทุกคนจะคิดว่า เราทำดีแล้ว และพวกเราส่วนมากจะคิดว่า เราไม่ได้ทำชั่ว เลย แต่เราก็ยัง ทุกข์อยู่ บางคนก็รู้ว่าตัวเอง ทุกข์ แต่หลายๆ คนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเรา ทุกข์ เพราะเราไม่เคยสังเกต เราไม่เคย กำหนดรู้ ทุกข์

              เราคิดว่า การที่เราไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักขโมย ฯลฯ นั้นคือ เราไม่ได้ทำชั่วแล้ว เราคิดว่าเราทำดีแล้วเพราะเราไม่ได้คดโกง ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่คอรัปชั่น เราตั้งใจทำงานอย่างดี เราขยันขันแข็ง เอาใจใส่ในการงาน... แต่เราก็ยังทุกข์ ยังวุ่นวายใจ ยังเครียด ยังกังวล และที่สำคัญเราทำให้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ทุกข์ เครียด กังวล ไปด้วย เพราะเรายังไม่เข้าใจคำว่า ทำชั่ว ทำดี คิดถูก คิดผิด ตามธรรม

              ฉะนั้น หวังว่าคำสอนของท่านพระอาจารย์ในหนังสือเล่มนี้ และเล่มอื่นๆ จะเปิดทัศนคติของพวกเราให้กว้างขวางขึ้น ให้เข้าใจความหมายของคำว่า ชั่ว ดี ผิด ถูก ได้กว้างขวางขึ้น และสามารถนำไปใช้พิจารณาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดความสงบและความสุขได้มากขึ้นๆ ทั้งแก่ตัวเองและผู้ที่อยู่ใกล้ชิด

มูลนิธิมายา โคตมี
มิถุนายน 2546

.........................
สอนคนขี้บ่น
หน้า 1

พระธรรมเทศนา ณ วัดป่าสุนันทวนาราม
วันที่ 18 กันยายน 2535

…………………………………………………………………………………………

อย่าประมาท

ที่เราปฏิบัติทุกวันนี้ เราต้องตั้งใจปฏิบัติ อย่าประมาท
ความประมาทช่วยไม่ได้
ผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าอยู่ด้วยความประมาท ก็เท่ากับไม่ได้ปฏิบัตินั่นแหละ
ความรู้สึกของเรา ใจของเราก็บอกว่า เราพยายามปฏิบัติ
แต่สิ่งต่างๆ ที่รู้สึกว่าเป็นอุปสรรคก็มีมาก
ใจหนึ่งก็อยากปฏิบัติ แต่อุปสรรคก็มี

 

อย่ามองข้ามตัวเอง….. อย่าขี้โกง

ผู้ปฏิบัติธรรมต้องซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเอง
ถ้าเรามีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
มีศรัทธาในการปฏิบัติธรรม เราต้องซื่อสัตย์สุจริต
อย่าไปถือทิฏฐิมานะ ถือตัวถือตน
สิ่งใดที่ไม่ถูกใจ เราก็ว่าเขาไม่ดี เรามองข้ามตัวเอง
มองแต่คนอื่น อันนี้.…. เรียกว่าเราไม่ซื่อสัตย์สุจริต
เรายังขี้โกง ทุจริต
จิตใจไม่บริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์พอที่จะปฏิบัติธรรมได้

ใจหนึ่งก็อยากรวย รวยด้วยธรรมะ อยากสงบ อยากบริสุทธิ์ อันนี้ก็มีอยู่
คือความอยาก ความปรารถนาที่จะทำความดีของเราก็มีอยู่
แต่อีกใจหนึ่งก็ขี้โกง ทุจริต ชอบคอรัปชั่น


“ละความชั่ว บำเพ็ญความดี ชำระจิตใจให้สะอาด”

ในการปฏิบัติ เราก็ไม่ค่อยปฏิบัติตัวเอง
ท่านให้ “ละความชั่ว บำเพ็ญความดี ชำระจิตใจให้สะอาด”
แต่พอเรามาปฏิบัติ เราก็จะเอาแต่ “ดี”
ปฏิบัติเดี๋ยวนี้ เราก็ต้องการ “ดี” เดี๋ยวนี้
สิ่งที่เราต้องการ อะไรๆ ก็แล้วแต่ เราก็ต้องการ “เอาเดี๋ยวนี้แหละ”
เราก็ข้ามเรื่องการ “ละความชั่ว” ไปเสีย

เราก็เลยเหมือนคนมักได้
พอตั้งใจปฏิบัติ ก็จะเอาแต่ของดีเดี๋ยวนี้
เราไม่ได้นึกถึง “เรื่องการละความชั่ว” หรือ “ทำความสะอาด”
เราไม่ได้นึกถึงว่า ของสกปรกที่มีเกินควร เราต้องชำระออกจากกาย
ออกจากวาจา ออกจากใจของตัวเองเสียก่อน คือการละความชั่ว

เราต้องสำรวจดูว่ามีอะไรที่ไม่น่าดู ไม่สะอาด
ทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจของเรา มีบ้างหรือเปล่า
ที่ทำไปแล้วตัวเองก็ไม่สบายใจ คนอื่นเห็นแล้วเขาก็ไม่ชอบ
เรามีปิยวาจารึเปล่า ฯลฯ

อันนี้เราไม่ค่อยจะได้พิจารณา ไม่ได้ระลึกถึง
นั่งสมาธิเดินจงกรมปุ๊บ ก็จะเอาสมาธิเดี๋ยวนี้
มาวัดปุ๊บ ตั้งใจปฏิบัติ นั่งสมาธิ เดินจงกรม หาของดี เดี๋ยวนี้
อันนี้ก็ผิดหลักพุทธศาสนา
เราต้องนึก ต้องพิจารณาให้ดี

 

ต้องละความชั่วก่อน

ถ้าเราต้องการพ้นทุกข์ ต้องการความสงบ ต้องการความบริสุทธิ์
ก็มีขั้นตอน คือ ต้องละความชั่วก่อน
เพราะฉะนั้นเราต้องเฝ้าสังเกตตัวเอง
การกระทำก็ดี การพูดจาก็ดี ความคิดก็ดี เราพยายามศึกษาดู ตั้งใจดู
ธรรมดาเราไม่ค่อยชอบดู เพราะเราไม่ซื่อสัตย์ เราทุจริต
เราไม่กล้า ไม่กล้ามองจุดอ่อน จุดบกพร่องของตัวเอง
การละความชั่วของตัวเองนี่เหนื่อยนะ แล้วเราก็ขี้เกียจด้วย

ปกติใจเราก็นึกแต่ “ให้เขาละความชั่ว”
คนอื่นที่ทำให้เราไม่ถูกใจ เราก็อยากให้เขาเปลี่ยน
เราไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเอง เรามองข้ามตัวเองเสมอ
อะไรไม่ถูกใจก็วิ่งไปชนแล้ว
จิตใจของเราก็มักจะเป็นอย่างนั้น

จริงหรือไม่จริงก็ดูใจตัวเอง
ตาเห็นอะไร หูได้ยินอะไร ไม่ถูกใจแล้วเป็นอย่างไร
เห็นอะไร ได้ยินอะไร ไม่ถูกใจก็เกิดกิเลสออกจากภายในจิตใจ
ออกเป็นลักษณะ โกรธ โมโห จิตใจก็วิ่งไปชน อยากให้เขาแก้

ปกติเรามักขะสร้างปัญหา ทำเรื่องเล็กๆ ให้เป็นเรื่องใหญ่
อะไรนิดหน่อย เราก็เกิดอารมณ์ แล้วกิเลสก็ปรุงแต่งไป
ยิ่งพูดกับเพื่อนๆ ในเรื่องที่เราไม่พอใจ
ใครทำอะไรให้เราไม่พอใจ เราก็พูดไปเรื่อยๆ ปัญหาก็ใหญ่ขึ้นๆ
จนอยู่ด้วยกันไม่ได้ เห็นคนอื่นเป็นคนชั่วหมด

ความจริงก็ไม่มีอะไรมากมาย
เราก็มองเห็นแต่เขาเป็นคนชั่ว คนไม่ดี คนบ้า เป็นโรคประสาท
ใจเราก็นึกอยู่อย่างนั้น เพราะไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ
จิตก็ปรุงแต่ง สร้างขึ้นมา
แต่ความจริงไม่ใช่เขาเป็นคนชั่ว ไม่ใช่เขาไม่ดี ไม่ใช่เขาเป็นโรคประสาท
ใจเรานี่ต่างหาก
ความจริงมันก็เหมือนกับเรานินทาตัวเอง ว่าตัวเองว่า
เป็นโรคประสาท เป็นคนชั่ว เป็นคนไม่ดี เป็นบ้า
มีแต่ด่าตัวเองทั้งนั้น

คนมีโทสะ อยู่ที่ไหนก็เป็นอย่างนั้น
จัดห้องแอร์ดีๆ ปรับอากาศดีๆ อาหารการกินดี ห้องน้ำดี
ทุกสิ่งทุกอย่างสบายดี แต่คนที่มีโทสะก็ยังโกรธได้
เพราะยกเอาของเก่าๆ ขึ้นมานึก.…. คิด แล้วก็โกรธอยู่อย่างนั้น
ไม่ใช่เพราะเราเจอคนไม่ดีหรอก
ถึงแม้ว่าเราไม่เจอใคร อยู่ดี กินดี ไม่มีอะไร
แต่ก็นึกอดีตขึ้นมา เอาอดีตขึ้นมาทะเลาะกันได้
นี่เป็นธรรมชาติของกิเลส
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในอวกาศ คนโกรธก็โกรธอยู่อย่างนั้น
ฉะนั้นที่เราคิดว่า เราทุกข์อย่างนี้เพราะเขาเป็นอย่างนั้น
อันนี้ไม่จริง

 

.........................

 

นินทาผู้อื่นเท่ากับนินทาตัวเอง

เราต้องพยายามพิจารณาให้เห็นจริงๆ ว่า
การที่เรานึกนินทาผู้อื่นนั้น เท่ากับเรานินทาตัวเอง
เราต้องสร้างความรู้สึกถึงขนาดนั้น
จิตจึงจะสงบได้

ไม่กล้าคิดผิด คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว
เกิดหิริโอตตัปปะ ละอายบาป อายที่จะคิดชั่ว อายที่จะทำชั่ว
โอตตัปปะ คือ กลัว
กลัวว่าสิ่งที่เราคิดไปด้วยโทสะ จะทำให้เราเศร้าหมองทันที
และจะกลับมาหาเราและให้โทษแก่ตัวเราด้วย
อันนี้ก็เป็นความจริงนะ

ถ้าเราสนใจธรรมะจริงๆ มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา
มีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า มีมรรค มีศีล สมาธิ ปัญญา
เชื่อทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เชื่อว่าเมื่อเราบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็จะพ้นทุกข์ได้
ถ้าเราเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ
เราก็ต้องพิจารณาดูตัวเอง
ดูว่า เราเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่คอรัปชั่น ไม่โกง รึเปล่า
สิ่งใดเป็นหน้าที่ของตัวเองก็ไม่ขี้เกียจขี้คร้านทำ
แม้จะเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน หรือเจ็บเพียงใด ก็พยายามทำ
ความรู้สึกว่าเราเจ็บๆ ๆ ความน้อยใจ เสียใจ เจ็บใจ อะไรๆ ก็มี

แต่ถ้าเราพร้อมที่จะทำลายความชั่วของตัวเอง
เราก็ต้องตั้งใจ.…. แล้วก็มีโอกาสที่จะก้าวหน้าได้
ถ้าเราเอาแต่ขี้โกง มักได้
มองข้ามตัวเอง จับผิดคนอื่น แล้วก็บ่นอีก
ก็ไม่มีวันสงบได้ ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้
เราก็เสียเวลาอยู่อย่างนั้น

 

ใครๆ ก็ว่ากล่าวตักเตือนได้

มีแต่ความอยาก อยาก “ธรรมะ” แต่ปฏิบัติไม่ถูก
เพราะอะไร ก็เพราะเราไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่อตัวเอง
โกหกตัวเองอยู่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเราต้องสังเกต
เช่นมีบุรุษคนใดคนหนึ่ง ว่ากล่าวตักเตือนเรา
ให้เราสังเกตดูใจของตัวเอง
ปกติจิตใจเราก็จะวิ่งชนเขานั่นแหละ
เราพยายามแก้ตัว ป้องกันตัวเอง
เราไม่ผิด เรารับฟังไม่ได้ จิตก็นึกปรุงไป

ถ้าตามหลักแล้ว
ผู้ปฏิบัติธรรมต้องปวารณาตัวเองกับทุกๆ คนว่า ถ้ามีอะไรๆ
ก็ว่ากล่าวตักเตือนได้
ถ้าเรามีจิตใจอย่างนี้ ก็มีโอกาสที่จะก้าวหน้าได้
แต่ถ้าใครพูดผิดใจนิดหน่อย อารมณ์ขึ้น อย่างนี้เราปิดทางก้าวหน้า
ถ้าเราสนใจปฏิบัติธรรมจริงๆ ต้องเปิดโอกาสให้ทุกคน
ใครจะคิดอะไรกับตัวเรา ให้ว่ากล่าวตักเตือนได้


เราต้องรับฟังด้วยใจปกติ

ที่จริงแล้ว ใครพูดอะไร จะผิดจะถูกก็ไม่สำคัญ
เราไม่ต้องวิจารณ์ว่าเขาพูดผิด หรือถูก
เขาพูดผิด หรือถูกก็ไม่สำคัญ
สำคัญที่ว่าเราต้องรับฟังได้ ด้วยใจปกติ และใจดี

แล้วก็น้อมเข้ามาพิจารณาดูว่า สิ่งที่เขาพูดไปนั้นจริงหรือไม่
ธรรมดาก็จริง ไม่มากก็น้อย ส่วนมากก็เป็นอย่างนั้น
ใครจะว่าเรา ตำหนิเรา ส่วนมากก็เป็นจริง
ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจจะไม่มาก

เราไม่ต้องคิดแก้ตัว

ฉะนั้น เรา ก็ไม่ต้องปฏิเสธ ไม่ต้องคิดแก้ตัว
ใจเราก็ชอบปฏิเสธ ชอบแก้ตัว
ใครจะพูดอะไร ว่ากล่าวตักเตือนเรา
ปัญญาปลอมๆ ของเราก็วิ่งเข้าชนแล้ว
ปัญญาหรือกิเลสก็ไม่ทราบ ปัญญาทางโลกนะ
ทางธรรมะเรียกว่ากิเลส ทางโลกเรียกว่าปัญญา
ความฉลาดของเราก็วิ่งออกไปแก้ตัว
“ฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาพูดไม่จริง”
นี่ก็ไม่ใช่ลักษณะของคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ลักษณะของคนดี

 

คนดีต้องรับฟังได้

ใครจะพูดสรรเสริญเรา นินทาเรา หรือว่ากล่าวตักเตือนเรา
เราต้องฟังได้ จึงจะเป็นคนดี เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต
อันนี้เราต้องพิจารณาดูว่า เรามีลักษณะอย่างนี้หรือไม่

การปฏิบัติในเบื้องต้น เราก็ต้องพัฒนาตัวเอง
ถ้าเรามีลักษณะอย่างนี้ เราก็ต้องแก้ ถ้าไม่แก้ เราก็ปิดทาง
“ความอยาก” ก็เพิ่มขึ้นๆ
ก้าว ก็ก้าวไม่ได้ มีแต่หยุดอยู่และถอย
มีแต่ “ความอยาก” อยากได้ธรรมะ อยากสงบ
แต่การปฏิบัติก็ไม่ก้าวหน้า

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
นี่ก็เป็นการปฏิบัติเบื้องต้น ที่เราต้องเข้าใจ
ถ้าเราเข้าใจธรรมะข้อนี้ ใจเราก็เข้าสู่ความสงบ
ถ้าเรารู้สึกอย่างนี้จริงๆ ใจเราก็ต้องสงบ.…. เพราะอะไร

เราสังเกตดูจิตใจตัวเองนะ เราคิดอะไรอยู่บ้าง
เราก็คิดนินทาคนโน้น บ่นว่าคนนี้
คนนั้นเป็นคนโง่ คนนี้เป็นอะไรๆ ที่เราก็นึกบ่น นึกว่าอยู่ในใจ
อันนี้เป็นมโนกรรม.…. มโนกรรม กายกรรม วจีกรรม
กรรม คือ การกระทำ
การกระทำทางกาย เป็นกายกรรม
การกระทำทางวาจา เป็นวจีกรรม
การกระทำทางใจ ก็เป็นมโนกรรม คือ คิด คิด คิด

ถ้าเราเข้าใจว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใจเราก็สงบ
ใจที่บ่น นินทา คนนี้ คนนั้นก็หมดไป

ถ้ามีใครสักคนหนึ่งทำอะไรไม่ถูกใจเรา
เราก็นิมิตคนนั้นขึ้นมานินทาอยู่อย่างนั้น
นึกนินทานึกบ่นอยู่อย่างนั้น ซึ่งก็เท่ากับนินทาตัวเอง

สิ่งใดที่เราคิดชั่วไปเราก็ต้องรับหมด เราได้ชั่วแน่นอน
ถ้าเรารู้ธรรมะจุดนี้ แล้วก็เกิดหิริ โอตตัปปะ
ละอาย….. ละอายการคิดชั่ว นินทาคนนี้ บ่นว่าคนนั้น
กลัว เพราะรู้ว่าสิ่งใดที่เรานึกไป ว่าไป ก็ต้องกลับมาหาเราทั้งนั้น
ถ้าเรารู้อย่างนี้แล้ว เราก็ต้องระวังตัว
ระวังทั้ง กาย วาจา จิต
ไม่ให้กระทบคนอื่น ไม่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์

แม้แต่เราจะไม่ถูกใจก็ตาม
เราก็มุ่งแต่คิดดี พูดดี ทำดี อยู่อย่างนั้น
ไม่ถูกใจขนาดไหนก็คิดดีได้
เพราะเรารู้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ไม่ใช่เขาทำถูกใจเราจึงจะคิดดีกับเขา ไม่ใช่นะ
แม้แต่เราไม่ชอบเขา ไม่ถูกใจ ไม่ชอบ ความรู้สึกลึกๆ ก็น่าโกรธ น่าโมโห
แต่ถ้าเราค่อยๆ ปฏิบัติ จนค่อยๆ เข้าใจว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
ปัญญามันจะบอกว่า “คิดชั่วไม่ได้”
ถ้าเป็นอย่างนี้ จิตของเราก็ต้องสงบแล้ว
ความฟุ้งซ่าน วุ่นวายใจ ก็ค่อยๆ หมดไปๆ

 

ธรรมะยังไม่ถึงใจ

ถ้าเราชอบบ่นอยู่อย่างนั้น ก็แสดงว่าธรรมะยังไม่ถึงใจ
“ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ที่เราได้ยินได้ฟังตั้งแต่เล็กๆ
ตั้งแต่คุณยาย คุณแม่สอนเรา
อันนี้ก็อยู่ในสมอง ถึงสมอง แต่ยังไม่ถึงใจ
สมองกับใจก็อยู่ใกล้ๆ กัน จะพูดว่าอยู่ติดกันก็ได้
แต่.…. ไม่ถึงใจ
กิเลส.…. ความรู้สึก อัตตาตัวตน.…. กั้นไว้
กั้นธรรมะไม่ให้ถึงใจ ใจเราจึงวุ่นวายอยู่อย่างนี้
เห็นอะไร ได้ยินเสียงอะไร ไม่ถูกใจ ก็อารมณ์ขึ้น

ถ้าเราเข้าใจหลักความจริงที่ว่า
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือ หลักอริยสัจ 4 ก็ดี
เมื่ออะไรจะมากระทบก็ตาม กิเลสเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม
จิตก็ไม่ฟุ้งซ่าน จิตก็ไม่คิดอาฆาตพยาบาท ไม่นึกปองร้ายเขา
เพราะถ้าเรานึกปองร้ายเขา ความชั่วนั้น ก็ต้องกลับมาหาเรา
เราต้องมองเห็นจุดนี้ด้วยปัญญา
ถ้ามองไม่เห็น ก็หาความสงบไม่ได้
เพราะอยู่ที่ไหนเราก็มีแต่ความไม่ถูกใจ
ใจเรามัน ก็โง่อยู่อย่างนั้น
เหตุการณ์เกิดในอดีต เราก็นึกขึ้นมา ยกขึ้นมา จำขึ้นมา
นึกอย่างนั้นอย่างนี้ นึกพยาบาทอาฆาตอยู่อย่างนั้น สติปัญญาไม่ทัน

ถ้าเราเกิดประสบการณ์ทุกข์ โกรธ ไม่พอใจ
ให้รีบยกขึ้นมาพิจารณา.…. ใครผิด ใครถูก
แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ดูว่า ใครผิด ใครถูก
ให้ดูตัวเรา ให้เห็นว่าตัวเราผิด ผิด ผิดนั่นแหละ
ความยินร้าย ไม่พอใจ โกรธ….. ฯลฯ.…. มันผิด

ถ้าเรานึกได้อย่างนี้ ก็เห็นชัด
คำพูด ความคิดที่เรานึกไปนั้นก็เหมือนกับนินทาตัวเองนี่แหละ
ถ้าเราคิดด่าเขา เราก็ด่าตัวเอง
ใครทำอะไรไม่สวยจริงๆ ด้วย เราก็บ่นไป นินทาไป
คำพูดเหล่านั้นก็กลับมาหาเราหมด เพราะเป็นกฎตายตัวอยู่แล้ว
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

 

เรื่องกรรมนี่น่ากลัว

มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งที่อาจารย์รู้จัก เขาเป็นทุกข์ เขาอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด
สามีไปทำงานที่กรุงเทพฯ มีเมียน้อย เขาก็เป็นทุกข์เป็นธรรมดา
เขาทะเลาะกับสามี ว่าสามี วันหนึ่งก็พูดรุนแรงกับสามีว่า
“ฉันอยากจะตัดแขนของเมียน้อย” พูดตอนเช้า
พอตอนเย็นเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำแขนตัวเองขาด
นี่ก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
อันนี้เราก็ต้องพยายามศึกษาจนเข้าใจว่า
เราต้องพยายามทำความดี ละความชั่ว
ตรวจตราว่า เรายังคิดชั่วไหม พูดชั่วไหม ทำชั่วไหม
พยายามละ เพราะทำชั่วได้ชั่วแน่นอน

ทีนี้เรา ก็ต้องพยายามหัด “คิดดี พูดดี ทำดี” กับเขา
หัดทำอะไรตรงกันข้ามกับความรู้สึก คือตัณหา ฝืนความรู้สึกให้ได้
เขาทำอะไรให้เราไม่ถูกใจ การแสดงออก
ทั้งทางกาย วาจา จิต ของตนเองตามนิสัยเก่าก็มี
แต่ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าเราก็ต้อง “ดัด” .…. จริต ฝืนทำดู
คือการทวนกระแส ทวนกิเลส ทวนตัณหา
หัดคิดดี พูดดี ทำดี ดูซิเป็นอย่างไร เปรียบเทียบดู
เราต้องมีจิตใจกล้าหาญที่จะทดลองอย่างนี้
อันนี้เราก็ต้องกล้าหาญ ต้องทดลอง
ถ้าเราไม่ทดลอง ปัจจุบันอยู่อย่างไร อนาคตก็จะอยู่อย่างนั้น

 

ภาระมาก !

ถ้าเราไม่ตั้งใจปฏิบัติ
เราก็อ้างเหตุผลต่างๆ อ้างภาระ อ้างสิ่งภายนอก
ว่าเป็นเหตุที่ทำให้เราปฏิบัติไม่ได้จริงจัง….. ความจริงไม่ใช่
ใครจะอยู่ในสังคม รับผิดชอบมากขนาดไหนก็ตาม
ประชุมนี่ ประชุมนั่น ประสานนี่ ประสานนั่น
อันนี้ก็ไม่ใช่เหตุที่เราจะปฏิบัติจริงจังไม่ได้

อย่างนี้แหละ เรียกว่า เราขี้โกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต
คอรัปชั่น ใจไม่ดี ใจชั่วนี่แหละ
สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ
เราก็ไม่ยอมรับว่า เราไม่ได้ตั้งใจทำ
โยนให้คนอื่นรับผิดชอบ

ที่จริงแล้วไม่ว่าภาระจะมากขนาดไหน
เราก็พูดอยู่ ทำอยู่ คิดอยู่ ตลอดวัน
การปฏิบัติเบื้องแรกที่เราต้องทำคือ อบรมปัญญา คิดให้ถูก
ครูบาอาจารย์ของเราก็สอนว่า “ภาวนา คือ คิดให้ถูก”
เมื่อเราถูกอารมณ์กระทบ เรามีเวลาสัก 5 นาที 10 นาที ที่จะคิดไหม
คิดผิดเป็นอย่างไร คิดถูกเป็นอย่างไร
ความคิด ก็ไม่ขึ้นกับอิริยาบถอะไรทั้งนั้น อยู่ที่ไหนก็คิดได้
ปกติพอกระทบอารมณ์ เราก็แสดงอาการโมโห ว่าไป
แต่ถ้าเรา ปุ๊บ ตั้งสติขึ้นมา

ถ้ามีเวลาสัก 5 นาที 10 นาที ก็คิดแก้ คิดสอนตัวเอง
ผิดอย่างไรก็ระลึกได้ ตรวจตัวเองดูว่า
คิดผิดอย่างไร พูดผิดอย่างไร ทำผิดอย่างไร
ถ้าเราสุจริต เราก็กล้า กล้ามองเห็นความจริงได้
ก็ไม่มีอะไร ไม่ต้องใช้เวลามาก เพราะอะไร
เพราะเห็นว่าผิด พูดผิด ทำผิด คิดผิด

ถ้าเรามีจิตใจซื่อสัตย์ ก็รู้จัก ก็สอนใจตัวเอง เราผิดอย่างนี้ๆ
ถ้าต่อไปเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ เราต้องทำอย่างนี้ พูดอย่างนี้ คิดอย่างนี้
อย่างน้อยแค่นี้เราก็ตั้งสติได้
อันนี้ไม่ต้องใช้เวลา เพราะไม่เกี่ยวกับอิริยาบถอะไรทั้งนั้น
นี่แหละการปฏิบัติธรรม
พยายามสร้างปัญญา ให้คิดดี คิดถูก นั่นแหละ
ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติ ก็ทำอย่างนี้
คอยตามดูว่า เราทำอะไรอยู่ พูดอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่

เมื่อเกิดอารมณ์ ก็สอนตัวเองไปเรื่อยๆ
หลักง่ายๆ คือ ไม่แน่
เกิดอารมณ์ปุ๊บ ไม่พอใจปุ๊บก็ “ไม่แน่”
คิดนินทาเขาก็ “ไม่แน่”
แล้วก็สอนว่า อย่าเชื่อ ความคิดที่เกิดจากอารมณ์กิเลส
เกิดความรู้สึกนึกคิดก็ “ไม่แน่ ไม่แน่”
ถ้าเกิดอารมณ์ก็เอา “ทุกข์เพราะคิดผิด” มาตั้งไว้ข้างหน้า

 

ดูถูกดูหมิ่นเขาใช้ไม่ได้

เราก็ต้องเปรียบเทียบ
ธรรมะเป็นอย่างนี้ ความรู้สึกของใจจริงๆ เป็นอย่างไร
“ทุกข์เพราะคิดผิด” เราจึงทุกข์ เราจึงไม่พอใจ
ไม่ใช่ว่าเขาเป็นอะไรๆ
ถ้าเรามองดูตัวเอง การปฏิบัติก็ง่ายขึ้น การปฏิบัติก็ไม่ยุ่งยาก
เพียงแต่ตรวจดูกาย วาจา จิต
ถ้าเกิดความรู้สึกไม่พอใจ ก็มีแต่ปล่อยวาง

ความคิด คิด คิด.…. ก็ไม่แน่
เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน.…. ปล่อยวาง
ความรู้สึก เป็นทุกข์ ไม่พอใจ ก็ปล่อยไป
ไม่ต้องคิดปรุงแต่งไป
อย่าคิดปองร้าย อาฆาต พยาบาท.…. อันนี้ใช้ไม่ได้

ดูหมิ่นดูถูกเขาใช้ไม่ได้
ความรู้สึกสักแต่ว่าความรู้สึก
ความคิดสักแต่ว่าความคิด
อันนี้เป็นตัวปัญญา

ความรู้สึก ความคิด ไม่พอใจ นี้ออกมาจากโทสะของเรา
ออกมาจากกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ของเรา
กิเลสเป็นพลังใหญ่ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจ
คิดปองร้าย ดูหมิ่น ดูถูกเขา
ความรู้สึก ความคิดเกิดขึ้นมา พยายามสับ สับ สับ
เอาดาบ คือปัญญามาสับ สับ สับ.…. ตัด.…. ปล่อย
การปฏิบัติก็ง่าย

 

เทวดาก็ช่วยไม่ได้

เราคิดแค่นี้ก็ยังคิดไม่ได้ จะทำอย่างไร
อุตส่าห์ปฏิบัติมา 30 ปี 40 ปี
เมื่อเกิดอารมณ์ คิดแค่นี้ก็คิดไม่ได้
จะให้ใครช่วย ให้เทวดาช่วยหรือ
เทวดาก็ช่วยไม่ได้หรอก เพราะไม่มีช่องว่างที่จะให้เทวดาช่วย
เพราะเต็มไปด้วยมาร ตั้งแต่ขันธมาร กิเลสมาร
เทวบุตรมาร อภิสังขารมาร มัจจุราชมาร เต็มอยู่อย่างนั้น
เทวดาเข้าไปช่วยไม่ได้
เราต้องช่วยตัวเอง ต้องยอมรับความจริง
ต้องเชื่อธรรมะ น้อมเข้าไปหาธรรมะ ไม่ใช่คิด “ธรรมะ”

คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข”

การปฏิบัติของเรานั้น
เรามักจะคิด เรียกร้องธรรมะให้มาช่วยเรา
ที่ถูกแล้ว เราต้องช่วยเหลือตัวเอง
ต้องหมั่นพิจารณา.…. โยนิโสมนสิการ
เราต้องน้อมเข้าไปหาธรรมะ
เอากาย วาจา จิต ไปละความชั่ว ทำความดี
พยายามชำระจิตใจให้สะอาด

ต้องพยายามใช้ปัญญามาพิจารณาดู คือโยนิโสมนสิการ
พยายามคิด พิจารณาดูอยู่อย่างนั้น
ทุกข์เกิดขึ้นเมื่อไร เราก็คิดผิด
เมื่อกระทบอารมณ์ เราก็ต้องรีบคิดดี พูดดี ทำดี
“คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข”
ธรรมะข้อนี้ใครก็รู้จัก เราก็ได้ยินมาตั้งแต่เล็กๆ แต่ยังไม่ถึงใจ
ใจเราก็ยังคิดสกปรกอยู่
กระทบนิดเดียวก็คิดสารพัด
เห็นอะไร ได้ยินอะไร ก็เกิดน้อยใจ เสียใจ ไม่พอใจ ครุ่นคิดสารพัด
พยาบาท ปองร้าย สู้กัน ชนกันอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราเข้าใจธรรมะนิดหน่อย

เอา คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข ตั้งไว้ที่หัวใจ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตั้งขึ้นมา
ทุกข์เพราะคิดผิด
อย่าเชื่อความรู้สึกนึกคิด
อะไรก็ไม่แน่ ไม่แน่ ไม่แน่

ถ้าเรามีสติระลึกได้ เอาธรรมะเหล่านี้มากรองอยู่อย่างนั้น
การปฏิบัติก็ง่ายมาก
ถ้าเรายึดธรรมเหล่านี้มาเป็นหลักในการปฏิบัติ.…. ก็ไม่มีอะไร
เห็นอะไร ได้ฟังอะไร อะไรกระทบอารมณ์ ใจก็สงบ
เราอาจจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจ หรือทุกข์อาจจะเกิดขึ้นก็ได้
แต่จิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตสงบได้ ทำใจสงบได้
แม้ยังรู้สึกเป็นทุกข์ เพราะเรายังมีกิเลส
บางครั้งเมื่อรู้สึกน้อยใจ เรารีบจับความรู้สึกที่หน้าอก
ความรู้สึกทางกายเกิด ใจก็ไม่พุ่งออกไปชนกับเขา
ไม่ดูถูก ดูหมิ่นใคร ไม่ต้องคิดอะไร

จับความรู้สึกทางกายนี่แหละ ที่หน้าอก
ความรู้สึกเป็นทุกข์ เราก็ต้องรู้จักว่า กิเลสกำลังเกิด
แล้วก็พิจารณาดูว่าไม่แน่ ความรู้สึกสักแต่ว่าความรู้สึก
เลยเป็นเรื่องเล็ก ไม่เป็นเรื่องใหญ่โต เพราะเราไม่ปรุงแต่ง
ถ้าเราทำได้อย่างนี้ เราก็ปฏิบัติถูก

 

ใจดี ใจดี

ฉะนั้นเราต้องพยายามทำใจดี หัดทำใจดี คิดดี พูดดี ทำดี
ทำใจดีได้ ก็เป็นคนดี ถ้าเราเป็นคนดี เราก็มีความสุข
ใครๆ ก็คิดดี พูดดี ทำดี กับเรา

เมื่อเราเป็นคนดี คิดดี พูดดี ทำดี ใจดีแล้ว
รอบด้านของเราใครๆ ก็คิดดีกับเรา พูดดีกับเรา ทำดีกับเรา
ถ้าเรารอให้คนอื่นๆ เขาเป็นคนดี ใจดี เราไม่มีวันเจอความสุขได้
เราต้องทำก่อน
ถึงแม้ว่าเขาคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี กับเราก็ตาม
ถ้าเรายังคิดดี พูดดี ทำดีอยู่ เราก็มีความสุขอยู่เหมือนเดิม

อันนี้ฝากไว้พิจารณา
ถ้าเรามีศรัทธาในธรรมะจริงๆ เราก็ต้องพิจารณาจริงๆ
อย่าทำเล่นๆ
ทำเล่นๆ ก็เป็นอย่างนี้….. ไม่เข้าถึงใจ

เพราะธรรมะเป็นของจริง
เราต้องทำจริง พิจารณาจริงๆ
คิดจริง พูดจริง ทำจริง แล้วเราก็จะเจอของจริง

แต่เราก็ไม่ต้องเหนื่อยหรอก
คิดจริงๆ ก็สบายๆ
เหนื่อยแล้วก็นั่งพิงสบายๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก
คิดจริงๆ คิดให้ถูก คิดตามหลักธรรม
นั่นคือโยนิโสมนสิการ............................................... เอวัง