ค้นหา
เมนู
- หน้าหลัก
- หมวดหมู่
- ภัยพิบัติ (65)
- ธรรมชาติ (286)
- วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (172)
- สังคม (2814)
- วัฒนธรรม (3270)
- ความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรม (19)
- ชาติพันธุ์ (531)
- กะเหรี่ยง (79)
- จีนฮ่อ (1)
- ถิ่น (1)
- ไทดำ (1)
- ไทย (6)
- ไทยอง (1)
- ไทลื้อ (6)
- ไทหย่า (1)
- ไทใหญ่ (1)
- ปะหล่อง (ว้า) (2)
- ม้ง (แม้ว) (44)
- มูเซอ (ลาหู่) (46)
- เมี่ยน (เย้า) (50)
- มลาบรี (ผีตองเหลือง) (2)
- มอญ (Mon) (160)
- ลานแตน (1)
- ลาว (1)
- ลาวเทิง (2)
- ลีซู (47)
- ลัวะ (ละว้า) (3)
- สามต้าว (1)
- อาข่า (57)
- ชาติพันธุ์อื่นๆ (7)
- ประเพณี (780)
- ภูมิปัญญาไทย (1652)
- เครือข่ายทางวัฒนธรรม (204)
- วัฒนธรรมหลวง (17)
- เนื้อหาวัฒนธรรมรอจัดหมวด (0)
- ศิลปะและการบันเทิง (699)
- ศาสนาและจิตวิญญาณ (7090)
- เนื้อหารอจัดหมวด (26)
- ค้นหาชั้นสูง
- บริจาคเนื้อหา
- เกี่ยวกับโครงการ
ล็อกอิน
ชุมชนมอญในประเทศไทย - มอญบางขันหมาก จ.ลพบุรี
มอญบางขันหมาก จ.ลพบุรี
องค์ บรรจุน
ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า คนมอญ เริ่มอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยหลายคราวด้วยกัน นับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา (พ.ศ. 2112-2133) เป็นต้นมา จนกระทั่งแผ่นดินสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ไทยจะโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัวชาวมอญตั้งเรือนและปกครองดูแลกันเองในลักษณะประชาคม กระจายอยู่ในหลายจังหวัดของประเทศไทย อาทิ ปทุมธานี สมุทรปราการ ธนบุรี กรุงศรีอยุธยา เป็นต้น
สำหรับชาว "มอญ" ที่อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในจังหวัดลพบุรีนั้น น่าจะเป็นมอญที่อพยพมาจากชุมชนชาวมอญอื่นอีกทอดหนึ่ง อาจารย์ภูธร ภูมิธน เชื่อว่าเป็นไปได้มากที่สุดคือ อพยพมาจากทางใต้คือ บ้านบางระกำ และจากทิศตะวันตกคือ บ้านโพธิ์ข้าวผอก ตำบลบางมัน อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี เพราะมีชาวมอญที่บ้านบางขันหมากหลายคนระบุเช่นนั้น และชุมชนมอญทั้งสองแห่งนี้ล้วนอยู่ไม่ไกลจากบ้านบางขันหมาก สามารถติดต่อกันได้โดยสะดวกผ่านทางแม่น้ำลพบุรี
มีนักวิจัยอีกท่านหนึ่งคือ ดร.จารุวรรณ เบญจาทิกุล เชื่อว่า ชาวมอญที่อพยพมาตั้งบ้านเรือนในจังหวัดลพบุรีเป็นมอญที่อพยพมาจากจังหวัด ปทุมธานี สมุทรปราการ อยุธยา และสิงห์บุรี ตอนแรกจะตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บริเวณท่าดินเหนียว ซึ่งอยู่ในตำบลโพธิ์เก้าต้น ต่อมาจึงได้ย้ายมาตั้งบ้านเรือนบริเวณบ้านบางคู้หรือตำบลบางขันหมากใน ปัจจุบัน มอญกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "ไทยรามัญ" แต่คนทั่วไปจะรู้จักกันในนาม "มอญบางขันหมาก"
จากแนวความคิดสองแนวทางดังกล่าวข้างต้น มีความสอดคล้องกันในลักษณะที่ว่า ชุมชนชาวมอญขันหมากมิได้อพยพมาจากพม่าโดยตรง แต่อพยพต่อมาจากดินแดนอื่นในประเทศไทย ซึ่งน่าจะเป็นดินแดนใดสักแห่งแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานั่นเอง ส่วนสาเหตุการอพยพอาจจะเกิดจากชุมชนเดิมเริ่มแออัด โจรผู้ร้ายชุกชุม เมื่อเดินทางมาถึงพบว่าในตำบลบางขันหมากยังว่างเปล่า เป็นที่ราบใกล้แม่น้ำลพบุรี ชัยภูมิดีมากคือหน้าน้ำขึ้นจะล้อมรอบเกือบจะเป็นเกาะ อยู่ใกล้กับตัวเมือง สะดวกในการคมนาคมติดต่อกับดินแดนใกล้เคียง และพื้นดินเหมาะสมกับการทำนาอีกด้วย จึงเริ่มตั้งบ้านเรือนขึ้นเป็นชุมชนริมแม่น้ำลพบุรีทั้งสองฝั่ง และขยายออกไปถึงริมถนนสายลพบุรี - สิงห์บุรี ทั้งสองฝั่งเช่นเดียวกัน เมื่อมีการสร้างเส้นทางสายนี้ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม
- ลักษณะชุมชนชาวมอญบางขันหมาก
ดังที่กล่าวมาข้างต้นและจากตารางแสดงสถิติของชุมชนบางขันหมาก จะพบว่าชาวบางขันหมากจะตั้งบ้านเรือนอยู่เพียง 7 หมู่บ้านของตำบลบางขันหมากเท่านั้น ประชากรก็มีจำนวนไม่มากนัก ฉะนั้นชาวมอญกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เล็กๆ ที่มีลักษณะการรวมกลุ่มกันอย่างเป็นปึกแผ่นเหนียวแน่นประกอบกับสภาพแวดล้อม ทางภูมิศาสตร์ที่มีแม่น้ำล้อมเกือบจะโดยรอบ และเป็นท้องทุ่งนา ยากที่ชุมชนอื่นจะเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย ชุมชนชาวมอญบางขันหมากจึงยังคงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ตนไว้อย่าง เหนียวแน่น
ชาวมอญบางขันหมากจะตั้งบ้านเรือนมีลักษณะแปลกไปจากบ้านเรือนคนไทย กล่าวคือมอญชอบปลูกบ้านขวางแม่น้ำ คือหันเอาด้านขื่อลงน้ำ นิยมหันหน้าบ้านไปทางทิศเหนือ คนไทยเห็นว่าแปลกจึงเรียกบ้านเรือนคนมอญว่า "มอญขวาง" ซึ่งปัจจุบันคำนี้มีความหมายไม่สุภาพ
ลักษณะบ้านจะยกพื้นสูงสร้างด้วยไม้ หลังคาทรงจั่ว ตัวบ้านประกอบด้วยตัวเรือนซึ่งจะมีเสาเอกผูกผ้าแดงเอาไว้เป็นที่อยู่ของผี เรือน มีระเบียงและนอกชาน ครัวจะอยู่ด้านข้าง ใต้ถุนบ้านโล่งเอาไว้เก็บเครื่องมือจับปลา เครื่องมือทำนา เก็บเรือ และนั่งพักผ่อน ชาวมอญจะให้ความสำคัญกับตัวเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของผีเรือนมาก เช่นคนนอกหรือแม้แต่ลูกเขยก็จะมานอนในเรือนใหญ่ไม่ได้ ถ้ามีความจำเป็นจะต้องบอกเล่าผีเรือนก่อน ซึ่งส่วนมากเจ่าของบ้านจะจัดให้นอนที่ระเบียงมากกว่า
ชุมชนชาวมอญ จัดระเบียบการปกครองโดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านปกครอง ตามลักษณะการปกครองท้องถิ่นของทางราชการ แต่เนื่องด้วยชาวมอญมีความเป็นปึกแผ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเองอย่างสูง จึงมักจะมีการรวมกลุ่มในลักษณะอื่นซ้อนอยู่ด้วย อาทิ รวมกันโดยพบปะและประกอบศาสนกิจในวัด ซึ่งวัดที่เป็นศูนย์กลางของคนมอญคือ วัดอัมพะวัน วัดกลาง วัดโพธิ์ระหัต และวัดทุ่ง ที่วัดจะมีเสาหงส์ปรากฏให้เห็นเพราะชาวมอญเชื่อว่าตนสืบเชื้อสายมาจากหงสาว ดี นอกจากนี้ยังรวมกันในกลุ่มคนตระกูลหรือนามสกุลเดียวกัน จะมีพิธีไหว้ผีโรง คือผีบรรพบุรษผู้เป็นต้นตระกูล เป็นต้น
- อาชีพและรายได้
อาชีพดั้งเดิมคือการทำนา ทั้งนาดำและนาหว่าน ว่งจากงานทำนาก็ทำหัตถกรรมจักสานชนิดต่างๆ ทั้งหญิงและชาว ในอดีตผู้หญิงชาวมอญเคยทอผ้าซิ่นหรือผ้าถุงเนื้อละเอียดมากขึ้นใช้เอง แต่ในปัจจุบันเลิกทอผ้าแล้ว การแต่งกายก็เปลี่ยนมาเป็นสมัยใหม่เสียเป็นส่วนใหญ่ ย้อนมากล่าวถึงเรื่องเครื่องจักสานก็นับว่ามีหลากหลายชนิด ทั้งประเภทเครื่องมือจับปลา อาทิ ข้อง สุ่ม ลอบ ชะนาง เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีเครื่องใช้ในครัวเรือนประเภทกระบุง ตะกร้า กระด้ง ฯลฯ ฝีมือจักสานของชาวมอญละเอียดประนีตงดงามมาก
นอกจากอาชีพทำนา อาชีพงานหัตถกรรมเครื่องมือจักสาน ก็ยังมีอาชีพการทำอิฐ ซึ่งเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับเจ้าของเตาเผาได้เป็นอย่างดี อิฐมอญบางขันหมากมีคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของท้องตลาดจนผลิตไม่ทันขาย และอาชีพเกี่ยวกับปลา ซึ่งชาวมอญบางขันหมากจับปลาน้ำจืดเป็นล่ำเป็นสัน และยังรู้จักการถนอมอาหารเกี่ยวกับปลาเป็นอย่างดี อาทิปลาย่าง ปลาเค็ม ปลาส้ม เป็นต้น
- ประเพณีที่สำคัญ
การไหว้ผีเรือน ชาวมอญ บางขันหมากนับถือศาสนาพุทธและมีใจบุญสุนทาน แต่ในขณะเดียวกันก็นับถือผีด้วย ผีที่นับถือก็คือผีเรือน และผีประจำตระกูลหรือโรงใหญ่ การไหว้ผีเรือนซึ่งจะอยู่ที่เสาเอกของเรือนเจ้าของบ้านจะผูกผ้าแดงไว้ เป็นเครื่องหมายว่าเป็นที่สถิตย์ของผีเรือน การเซ่นไหว้จะทำได้ทุกโอกาส เช่นในตอนเช้าวันพระ วันทำบุญสำคัญอื่นๆ ก่อนจะไปทำบุญที่วัดก็ไหว้ผีเรือนเสียก่อน ถ้าไม่เคารพผีเรือนจะทำให้เกิดความเดือดร้อน คนในครอบครัวเจ็บป่วยได้
การไหว้ผีโรงหรือผีโรงใหญ่ เป็นผีต้นตระกูลจะอยู่ที่บ้านของหัวหน้าตระกูล ซึ่งเป็นเพศชายที่มีอาวุโสสูง โดยมีผ้าผีเป็นสัญลักษณ์ของผีโรงเก็บรักษาไว้ที่บ้านต้นตระกูล ผ้าผีจะเป็นผ้าแดงขนาดไม่จำกัด แต่ปกติจะมีขนาดเท่าผ้าขาวม้า ถ้าผ้ามีตำหนิจะต้องหามาเปลี่ยนใหม่ นอกจากนี้ของใช้ของผีโรงก็มีบ้าง อาทิ ผ้าขาวม้า เสื้อ ดาบ รวมใส่พานตั้งอยู่บนหิ้ง หากผู้นำตระกูลเสียชีวิตลง ผู้อาวุโสรองลงมาจะรับช่วงเลี้ยงผีโรงต่อมา ถือเป็นเกียรติยศและความภาคภูมิใจของผู้รับมาก เจ้าบ้านจะกำหนดเลี้ยงผีโรง 3-4 ปีต่อครั้ง กำหนดในเดือนหก หรือราวเดือน เมษายน - พฤษภาคม
การทอยสะบ้า
เป็นการละเล่นของชาวไทยเชื้อสายมอญที่ปรากฏอยู่ในหลายจังหวัด รวมทั้งชาวมอญตำบลบางขันหมากก็ยังมีความนิยมเล่นกันอยู่บ้าง มักนิยมเล่นในเทศกาลสงกรานต์ เดิมการเล่นสะบ้านิยมเล่นในหมู่หนุ่มสาว เพื่อทำความรู้จักกัน ใช้ลูกสะบ้าทอยไปยังแป้นที่มีหญิงคู่ของตนนั่ง ถ้าทอยผิดฝ่ายหญิงจะยึดลูกสะบ้าไว้ต่อรองให้ฝ่ายชายทำในสิ่งที่ฝ่ายหญิงต้อง การ เช่นร้องเพลง เป็นต้น ปัจจุบันการทอยสะบ้ามักจะผลัดกันทอยลูกสะบ้าให้โดนเป้าจนหมด ฝ่ายใดทอยได้หมดก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ จะได้รับรางวัลตามที่ได้ตั้งไว้หรือกำหนดไว้
การไว้ทรงผมและเครื่องแต่งกายชาวมอญตำบลบางขันหมาก
- ทรงผมและเครื่องแต่งกายของเด็ก
ชาวมอญบางขันหมากมีประเพณีการไว้ทรงผมของเด็กทั้งเด็กหญิง และเด็กชายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะคือ ผมโก๊ะ โดยไว้ผมยาวเฉพาะบริเวณขวัญที่กลางกระหม่อมแล้วโกนบริเวณอื่นทิ้ง ผมที่ไว้ยาวนี้อาจจะยาวจนถักเป็นเปียเล็กๆ ได้ ก็จะเรียกว่า ผมเปีย และชาวมอญบางขันหมากจะนิยมเรียกว่าผมเปียมากกว่าผมโก๊ะ นอกจากนี้ยังมีผมแกละคือผมที่ไว้ยาวสองข้างเหนือหูขึ้นไปอาจปล่อยไว้หรือถัก เป็นผมเปียอีกด้วยการไว้ผมโก๊ะของเด็กชาวมอญบางขันหมากน่าจะมีรากฐานมาจาก ความเชื่อเรื่อง "ขวัญ" ที่อยู่ส่วนบนตอนกลางของศีรษะ อย่างหนึ่ง กับความเชื่อหรือการนับถือผีโรงใหญ่อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะแยกได้ดังนี้
1. คนไทยเราแต่โบราณ เชื่อว่ามี "ขวัญ" คุ้มครองประจำตัวของใครของมัน และต้องระวังมิให้ขวัญเสียหรือขวัญหาย หากเสียหรือหายไปก็ต้องทำพิธีเรียกขวัญหรือสู่ขวัญ คนที่เจ็บไว้ได้ป่วยเรื้อรังหรือเดินทางไกลๆ ถือว่าขวัญตกใจหรือเรียกอีกอย่างว่า ขวัญหนีดีฝ่อ จึงต้องเอาด้ายไปพิธีกรรมมาทำการผูกไว้ให้อยู่กับตัวอีกครั้ง สาเหตุการไว้ผมโก๊ะดังกล่าวนี้จะมาจากเหตุผลเรื่องสุขภาพอนามัยของเด็กด้วย เพราะเด็กเกิดใหม่ๆ กะโหลกส่วนที่เรียกว่าขม่อมยังต่อกันไม่สนิท หากไปโกนส่วนนั้นเข้าเด็กก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นในระยะแรกเกิด ก็ผูกเป็นความเชื่อเรื่องขวัญหรือวิญญาณของคนว่าต้องอยู่บริเวณนั้นด้วย และถึงแม้ว่ากะโหลกศีรษะมีความแข็งขึ้นแล้วก็ยังไม่ยอมโกนผม คงไว้ต่อไปจนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงค่อยโกนออก คือเมื่อถึงวัยราว 11-13 ปี
2. ความเชื่อในเรื่องผีโรงใหญ่ของชาวมอญบางขันหมาก เป็นความเชื่อที่สำคัญมากเพราะชาวมอญเชื่อว่าเด็กผู้ชายคือผู้ที่จะต้อง สืบสานวงศ์ตระกูล ต่อไปเพื่อมิให้เชื้อสายชาวมอญเสื่อมสูญไป ดังนั้นจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเด็กเพศชาย จึงให้ไว้ผมโก๊ะ และจะมีความเชื่อว่าพ่อแม่ที่มีเด็กไว้ผมทรงนี้ห้ามลงโทษเด็กด้วยการตี เป็นจิตวิทยาให้เลี้ยงลูกอย่างดี เอาใจใส่ทนุถนอมนั่นเอง ส่วนเด็กหญิงที่ไว้ผมโก๊ะนั้นคงจะเป็นการเลียนแบบเด็กผู้ชายและเชื่อว่าจะ เลี้ยงง่ายด้วย
ความเชื่อและพิธีกรรม การไว้ทรงผมโก๊ะมีส่วนสัมพันธ์ กับความเชื่อในเรื่องผีโรงใหญ่ของชาวมอญบางขันหมากมาก พิธีกรรมที่ต้องกระทำเมื่อเด็กไว้ผมโก๊ะ เริ่มจากพ่อมแม่จัดเตรียมผ้าแดงหรือผ้าขาวม้าสีแดง 1 ผืน นำไปให้ผู้นำของตระกูลที่จำทำพิธีไหว้ผีโรงใหญ่เก็บรักษาไว้ เมื่อทำพิธีไหว้ผีโรงใหญ่จะนำผ้าแดงมาใช้ร่วมในพิธีไหว้ด้วย สำหรับเด็กหญิงที่จะไว้ผมโก๊ะพ่อแม่ไม่ต้องเสียผ้าแดง เริ่มไหว้ผมได้ตั้งแต่แรกเกิดหรือหลังจากการโกนผมไฟ โดยโกนผมรอบๆ ขวัญ ปล่อยให้ผมบริเวณขวัญกลางกระหม่อมยาวเป็นปอยเล็กๆ บางรายจะตัดผมรอบๆ ปอยผมโก๊ะเป็นวงไรโดยรอบทำให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น บางรายก็ไว้หลายปอย เมื่อปอยผมยาวขึ้นก็ถักเป็นเปียเล็กๆ น่ารักห้อยยาวไปข้างหลัง
ผลที่ได้รับจากการไว้ผมโก๊ะ สำหรับ ชาวมอญ บางขันหมากที่ให้ลูกไว้ผมโก๊ะนั้น เป็นผลดีในแง่ของความเชื่อเรื่องผีโรงใหญ่ก็คือ การเคารพบรรพบุรุษนั่นเอง และการไว้ผมโก๊ะยังเป็นการให้ความสำคัญกับเด็ก ให้ความรักความเอาใจใส่ดูแลเลี้ยงดูให้เด็กเติบโต สืบทอดเผ่าพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์มอญต่อไป
นอกจากนี้การไว้ผมโก๊ะคงจะสะดวกในการดูแลเรื่องความสะอาดของหนังศรีษะของ เด็กด้วย เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน เด็กเล่นซุกซน เหงื่อออกมา เด็กทำความสะอาดร่างกายและศรีษะตัวเองได้ไม่ดีนัก ฉะนั้นการไว้ผมโก๊ะก็จะบังเกิดผลดีต่อสุขภาพอนามัยของเด็กเองด้วย
สำหรับเครื่องแต่งกายเด็ก "มอญบางขันหมาก"
เป็นแบบสมัยนิยมทั่วไป และสืบไม่พบลักษณะพิเศษของเครื่องแต่งกายเด็กมอญครั้งโบราณ รวมทั้งที่หลงเหลืออยู่ในยุคปัจจุบัน เข้าใจว่าจะแต่งกายเหมือนกับ เด็กไทย กล่าวคือเด็กหญิงนุ่งผ้าถุงหรือผ้าซิ่น สวมเสื้อคอกระเช้าหรืออาจจะเป็นเสื้อมีแขนบ้างเป็นบางโอกาส ตอนเด็กสวมจับปิ้ง สวมกำไลข้อเท้า คนมีฐานะก็จะให้ลูกสวมสร้อยคอ หรือกำไลข้อมือที่ทำด้วยวัสดุมีค่า เด็กผู้ชายจะสวมกางเกงขาสั้น ส่วนใหญ่ไม่สวมเสื้อ นอกจากในยามที่อากาศหนาวเย็นหรือไปงาน ไปวัด
เมื่อเข้าร่วมในพิธีกรรมโกนผมโก๊ะ ผู้ใหญ่จะแต่งกายให้เป็นพิเศษคือมีลักษณะเป็นแบบไทยโบราณ ประกอบด้วยนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลมสีสันสวยงาม หรือมีดอกดวงสีฉูดฉาด อาจจะมีเครื่องประดับเป็นพิเศษในโอกาสเช่นนี้ ถือเป็นการแต่งกายที่สวยงามที่สุดให้กับเด็ก และยังเป็นการให้ความสำคัญแก่เด็กเป็นพิเศษอีกด้วยก่อนที่เด็กจะก้าวเข้าสู่ วัยผู้ใหญ่ ภายในครอบครัวหรือหมู่ญาติสนิทจะแต่งกายหรูหรามากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ ขนาดของการจัดงาน กำลังทรัพย์ของเจ้าภาพ และเจตนาของการจัดงาน ผู้มาร่วมงานและเด็กที่จะโกนผมก็จะแต่งกายสอดคล้องกับลักษณะของงาน ปัจจุบันเด็กมอญบางขันหมากจะแต่งกายเหมือนเด็กไทยโดยทั่วไป คือนุ่งกางเกง สวมเสื้อที่หาซื้อจากตลาด เด็กหญิงนุ่งผ้าซิ่นหาดูไม่ได้แล้ว
ทรงผมและเครื่องแต่งกายของผู้สูงอายุ
- ผู้ชาย
ชายชาวมอญ ในปัจจุบันไว้ผมรองทรง ในอดีตคงจะไว้ทรงมหาดไทยและเริ่มเปลี่ยนแปลงมาสู่ยุคทันสมัยในรัชกาลที่ 5 ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว และในอดีตเคยมีความเชื่อว่าถ้าผู้ชายใส่ต่างหูข้างซ้ายจะได้ลูกสาว ตุ้มหูเป็นระย้าทำด้วยเงินหรือทอง ซึ่งผู้ชายมอญเคยนิยมใส่ไปงานบวชนาคด้วย แต่ในปัจจุบันไม่พบเห็นความเชื่อดังกล่าวเช่นนี้แล้ว ส่วนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนั้น นิยมนุ่งผ้าโสร่งสวมเสื้อคอกลมผ่าอกและคาดผ้าขาวม้าที่เอว บางคนนิยมสวมกางเกงจีนขาก๊วยซึ่งหาซื้อจากตลาดแถวท่าโพธิ์ตลาดล่าง ซึ่งอยู่ใกล้กับชุมชนชาวมอญบางขันหมากและเดินทางไปมาสะดวก
- ผู้หญิง
หญิงสาวไม่ปรากฏเอกลักษณ์ด้านทรงผมและเครื่องแต่งกาย นอกจากนิยมสวมกำไลข้อมือข้อเท้าจนกระทั่งโตเป็นสาว ในงานพิธีงานบุญใหญ่จะสวมสร้อยคอด้วย ส่วนสตรีสูงอายุ คือเกิน 30 ปีขึ้นไป นิยมไว้ผมมวยเกล้าสูงไว้กลางศีรษะ (ไม่ต่ำมาอยู่ท้ายทอย) ตำแหน่งใกล้ๆ ขวัญเช่นเดียวกับเด็กไว้ผมโก๊ะ จากการสัมภาษณ์ป้าจิ้ว ออกช่อ อายุ 77 ปี บอกว่าไว้ผมมวยมาตั้งแต่อายุ 35 ปี สาเหตุที่ไว้เพราะเคยไว้กันมาตามประเพณีชาวมอญสืบทอดต่อกันมาแต่บรรพบุรุษ โดยไม่ทราบเหตุผล เมื่อเกล้ามวยแล้วจะใช้น่ะซก ซึ่งเป็นรูปตัว U กับปิ่นรูปช้อนขัดผมมวยเอาไว้ น่ะซกรูปตัว U และปิ่นรูปช้อนทำด้วยอลูมิเนียม เงิน หรือสังกะสี ถ้ามีฐานะก็อาจจะทำด้วยทอง ปัจจุบันไม่พบเครื่องประดับศีรษะที่ทำด้วยทอง นอกจากนี้ในงานบุญสำคัญสตรีสูงอายุจะนำลูกปัดมาร้อยประดับมวยผม บางรายจะใช้ดอกไม้จริง ดอกไม้ผ้าสีต่างๆ มาประกอบกับลูกปัดประดับมวยผมอย่างงดงาม มีบ้างเหมือนกันที่ใช้หวีสับช่วยในการเกล้าผมด้วย การตกแต่งมวยผมเช่นนี้จะกระทำต่อเมื่อไปงานบุญเท่านั้น
ส่วนการแต่งกายของสตรีสูงอายุชาวมอญบางขันหมากจะนิยมสวมผ้าซิ่นหรือผ้าถุงซึ่งใน อดีตทอผ้านุ่งใช้เอง แต่เสื้อแขนกระบอกสามส่วนนั้นซื้อผ้าขาวจากตลาดในตัวจังหวัดลพบุรีมาตัด ไม่นิยมสวมโจงกระเบนแบบคนไทย นอกจากนี้ยังนิยมใช้สไบคล้องคอปล่อยชาวยาว 2 ข้าง ในอดีตเป็นผ้าขาวเนื้อเกลี้ยง แต่ในปัจจุบันจะถักด้วยด้ายสีขาวฝีมืองดงาม เป็นเรื่องประกวดประขันฝีมือกันมาก เมื่อไปวัดจะใช้สไบพาดเฉียงไหล่ เวลากราบพระจะปล่อยชายข้างหนึ่งลงมารองกราบ
นอกจากนี้ยังพบสตรีชาวมอญนิยมสวมต่างหู เจาะหูกันเกือบทุกคน ลักษณะต่างหูเป็นแบบฟักทอง แบบระย้านิยมสวมสร้อยคอเป็นปกติ บางรายมีฐานะดีจะมีสร้อยตัวสวมไปงานบุญใหญ่ๆ
พิธีกรรม จากการสัมภาษณ์ชาวมอญที่ไว้ผมมวยทุกคนตอบว่าไม่มีพิธีกรรมใดๆ เกี่ยวกับการไว้ผมมวย เริ่มไว้ได้เลยเมื่อสูงอายุขึ้นพอสมควร เมื่อไว้ยาวมากจะตัดก็ตัดได้เลยโดยเลือกวันตามความเชื่อ แต่ในปัจจุบันจะเว้นไม่ตัดผมในวันพุธ
ทัศนคติชาวมอญ ที่ไว้ผมมวยจะตอบว่าชอบที่ไว้ผมมวยและมีความภาคภูมิใจในผมมวยที่เป็นเอก ลัษณ์เฉพาะของชนมอญ และการดูแลผมในอดีตจะใส่น้ำมันมะพร้าวเพื่อให้ผมดำเป็นเงา สมัยปัจจุบันจะใส่น้ำมันที่มีขายในท้องตลาด ส่วนมากตอบว่าสระผมปกติ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
- ทรงผมและเครื่องแต่งกายในยุคปัจจุบัน
กล่าวโดยสรุปแล้วผู้คนในยุคปัจจุบันค่อนข้างจะแต่งตัวเก่ง ปรุงแต่งเรือนร่างทุกกระเบียดนิ้ว การนำเสนอแฟชั่นเครื่องแต่งกายที่ปรากฏตามสื่อสารมวลชนชนิดต่างๆ เข้าถึงผู้คนได้อย่างกว้างขวาง ยิ่งทำให้เกิดค่านิยมในการแต่งกายกันมากขึ้น ใครไม่ทำตามแฟชั่นจะกลายเป็นคนล้าสมัย หรือเชยไปเลย ความรู้สึกดังกล่าวนี้จะมีมากในกลุ่มวัยรุ่นและคนหนุ่มสาว คนอ่อนเยาว์ทั้งหลายที่ยังไม่เป็นตัวของตัวเองเหล่านี้ เขายังขาดความมั่นใจ หรือกำลังค้นหาตัวเองอยู่ บุคคลเหล่านี้จะตกเป็นทาสของคำโฆษณา เป็นทาสของแฟชั่น จนกลายเป็นความฟุ่มเฟือยในการแต่งกาย เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งการขาดดุลการค้ากับต่างประเทศซึ่งมีมูลค่าไม่น้อยในแต่ละปี
หนทางแก้ไขปัญหานี้ที่น่าจะได้ผลดีประการหนึ่งคือ การสร้างค่านิยมความเป็นไทยให้กับคนไทยทุกคน เมื่อคนไทยมีความหนักแน่นในความเป็นไทย มีจุดยืนที่มั่นคงแล้วคงจะรู้จักเลือกรับแฟชั่นการแต่งกาย ที่หลั่งไหลมาจากต่างประเทศได้อย่างเหมาะสม "คือรู้จักเลือกรับ และรับอย่างมีสำนึก"