ค้นหา
เมนู
- หน้าหลัก
- หมวดหมู่
- ภัยพิบัติ (65)
- ธรรมชาติ (286)
- วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (172)
- สังคม (2814)
- วัฒนธรรม (3270)
- ความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรม (19)
- ชาติพันธุ์ (531)
- ประเพณี (780)
- ภูมิปัญญาไทย (1652)
- เครือข่ายทางวัฒนธรรม (204)
- วัฒนธรรมหลวง (17)
- เนื้อหาวัฒนธรรมรอจัดหมวด (0)
- ศิลปะและการบันเทิง (699)
- ศาสนาและจิตวิญญาณ (7090)
- เนื้อหารอจัดหมวด (26)
- ค้นหาชั้นสูง
- บริจาคเนื้อหา
- เกี่ยวกับโครงการ
ล็อกอิน
นาฏดุริยการล้านนา - ฟ้อนเมืองกลายลาย (1)
บทความ นาฏดุริยการล้านนา วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549 - ฟ้อนเมืองกลายลาย (1)
ฟ้อนเมืองกลายลาย (1)
ฟ้อนเมืองกลายลาย ถ้าออกเสียงแบบล้านนาจะอ่านว่า “ฟ้อนเมืองก๋ายลาย” ชื่อขอการฟ้อนนี้แยกได้เป็นสองคำ คือคำว่า ฟ้อนเมือง กับคำว่า กลายลาย“ฟ้อนเมือง” หมายถึงฟ้อนของคนเมือง (ไทยวน) ซึ่งโดยทั่วไปจะมีต้นตอมาจากฟ้อนเจิง ส่วน “กลายลาย” หมายถึงการถูกปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนให้กลายเป็น ซึ่งกลายในที่นี้เป็นการกลาย “ลาย” ที่หมายถึงลีลาท่าฟ้อน เรื่องนี้มีที่มาซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์คุณแม่ชื่น กาวิละ อยู่บ้านเลขที่ 113 บ้านแสนตอง หมู่ 10 ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2531 ท่าเล่าให้ฟังว่าญาติอาวุโสของท่านคือแม่หม่อนดี (หม่อน = ทวด) ได้สืบทอดการฟ้อนชนิดนี้จากคุณตาอีกทีหนึ่ง
สมัยแม่หม่อนดียังเด็ก คุณตาของหม่อนดีท่านเป็นครูฟ้อนเจิง ปรารถนาจะถ่ายทอดวิชาฟ้อนเจิงให้บุตรหลานที่เป็นผู้ชาย แต่ท่านไม่มีบุตรหลานที่เป็นผู้ชายมีแต่เด็กหญิงทั้งนั้น แต่ด้วยความตั้งใจ ท่านได้พยายามสอนการฟ้อนแก่เด็กหญิงเหล่านั้น โดยเลือกสอนในท่าที่ค่อนข้างอ่อนช้อย เช่น บิดบัวบาน เสือลากหาง สาวไหม เป็นต้น ค่ำคืนใดเดือนหงายส่องฟ้า คุณตาจะเรียกไปสอนเสมอ ซึ่งแม่หม่อนดีก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย เมื่อฟ้อนเป็นแล้วก็ให้จับคู่ตั้งขบวนเป็นแถวเหมือนฟ้อนเมือง (ฟ้อนเล็บ) โดยทั่วไป จึงเรียกว่าฟ้อนเมือง แต่ด้วยลีลาที่มาจาก ฟ้อนเจิง ที่กลายจากท่าของผู้ชายมาเป็นลีลาของหญิงสาว จึงเรียกว่า ฟ้อนเมืองกลายลาย หมายถึงการฟ้อนเมืองที่กลายพันธุ์ประมาณนั้น
หลังจากที่ฝึกหัดฟ้อนจนชำนาญแล้ว ได้ติดตามคณะศรัทธาวัดไปแสดงในงานบุญต่าง ๆ โดยเฉพาะงานฉลองถาวรวัตถุที่เรียกว่า “ปอยหลวง” การฟ้อนแต่ละครั้ง ได้รับความชื่นชมจากผู้ที่ได้พบเห็นเป็นประจำ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีคณะหรือบุคคลใดสนใจจะสืบทอด ซึ่งอาจเป็นเพราะแต่ละวัดนิยมฟ้อนเมืองเป็นส่วนใหญ่ การฟ้อนนี้จึงมีอยู่ใน
ละแวกเดียวคือบ้านแสนตอง และบ้านเหล่า กระนั้นก็ตาม การถ่ายโอนลีลาท่าฟ้อนชนิดนี้ ก็ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาจากแม่หม่อนดี ซึ่งรุ่นแรก ๆ ที่จำได้คือแม่อุ้ยยอด เวชสุคำ และรุ่นต่อมาได้แก่
1. แม่ต๋า ปัญญารัตน์
2. แม่เตรียมตา วงศ์วาน
3. แม่ประมวล เรือนคำ (แม่งา)
4. แม่อร เรือนคำ
5. แม่ชื่น กาวิละ
เมื่อปีพ.ศ. 2529 ผู้เขียนและคณะจากชมรมพื้นบ้านล้านนา สโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มีโอกาสไปสอนศิลปะดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน แก่โรงเรียนชุมชนแม่สาบ อำเภอสะเมิง ระยะนั้นเป็นช่วงที่ผู้เขียนสนใจเรื่องความเป็นมาของฟ้อนสาวไหมพอดี ดังนั้นเมื่อผู้เขียนไปในท้องถิ่นใดก็ตามจะต้องถามหาฟ้อนสาวไหมเสมอ ครั้งหนึ่งผู้เขียนและเพื่อนสนิทคือคุณสุชาติ กันชัย ได้รับคำแนะนำจากผู้เฒ่าท่านหนึ่งชื่อ “พ่อหนานมา” ว่ามีคนฟ้อนสาวไหมได้ และอยู่ที่บ้านแสนตอง ผู้เขียนและเพื่อนจึงได้ไปสืบดู ก็ได้พบกับแม่ชื่น กาวิละ เป็นคนแรก แม่ชื่นได้กรุณาฟ้อนให้ดู พร้อมอธิบายว่า ฟ้อนชนิดนี้เรียก “ฟ้อนเมืองกลายลาย” แต่มีท่าสาวไหมรวมอยู่ด้วยทำให้คนเรียกชื่อตามที่เห็นว่าฟ้อนสาวไหม จากนั้นแม่ชื่นก็เล่ารายละเอียดให้ฟังอีกมากมาย เสียดายที่พื้นที่กระดาษหมด อดใจรอตอนต่อไปครับ
สนั่น ธรรมธิ
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(ภาพประกอบโดยเนติ พิเคราะห์ และเสาวณีย์ คำวงค์)
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่